ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานเกือบ 200 จุด ในวันนี้ ซึ่งเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของเดือนม.ค.
ณ เวลา 00.46 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,891.59 จุด บวก 174.50 จุด หรือ 0.52%
ตลาดได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทแมคโดนัลด์ คอร์ป และเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ซึ่งเปิดเผยตัวเลขกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 4/2565 รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินรอบนี้
นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดในวันพรุ่งนี้ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งจะส่งสัญญาณทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในปีนี้
นักวิเคราะห์ระบุว่าการปรับตัวอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางที่สดใสในปีนี้ หลังจากทำสถิติทรุดตัวลงในปีที่แล้วหนักที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่งขึ้น 1.72% นับตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.และต้นปี 2566 ขณะที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 4 เดือน ส่วนดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 4.64% นับตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.และต้นปี 2566 และมีแนวโน้มทำสถิติเป็นเดือนม.ค.ที่ทะยานขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2562 และปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 4 เดือน ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 8.86% นับตั้งแต่ต้นเดือนม.ค.และต้นปี 2566 และมีแนวโน้มทำสถิติทะยานขึ้นมากที่สุดรายเดือนนับตั้งแต่เดือนก.ค.2565
นายไรอัน เดทริก นักวิเคราะห์จาก Carson Group กล่าวว่า การปรับตัวที่แข็งแกร่งในเดือนม.ค.ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาด และบ่งชี้ว่าตลาดจะดีดตัวขึ้นต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
"สถิติบ่งชี้ว่า มีอยู่ถึง 5 ครั้งในอดีตที่ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นมากกว่า 5% ในเดือนม.ค. หลังจากที่ตลาดติดลบในปีก่อนหน้า ดัชนีก็ได้พุ่งขึ้นเฉลี่ยถึง 30% ในปีนั้น" นายเดทริกระบุ
ด้านนายอดัม พาร์คเกอร์ นักวิเคราะห์จาก Trivariate Research กล่าวเช่นกันว่า "สาเหตุที่ผมมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงต้นปีเป็นเพราะที่ผ่านมานักลงทุนมองในแง่ลบมากเกินไป"