ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (7 ก.พ.) หลังจากนักลงทุนปรับตัวรับถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งระบุว่า เงินเฟ้อในสหรัฐเริ่มชะลอตัวลง แต่ตัวเลขจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนม.ค.ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,156.69 จุด พุ่งขึ้น 265.67 จุด หรือ +0.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,164.00 จุด เพิ่มขึ้น 52.92 จุด หรือ +1.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,113.79 จุด พุ่งขึ้น 226.34 จุด หรือ +1.90%
นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตัน (Economic Club of Washington) เมื่อคืนนี้ว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ลดลง (Disinflationary) ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะนำไปสู่การชะลอตัวของเงินเฟ้อนั้น เริ่มปรากฎให้เห็นแล้ว โดยเฉพาะในภาคสินค้า (Goods Sector) อย่างไรก็ดี การชะลอตัวอย่างยั่งยืนของเงินเฟ้อนั้นยังคงต้องใช้เวลาอีกนาน และในขณะนี้เราเพิ่งจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น"
นายพาวเวลคาดการณ์ว่า "ปี 2566 จะเป็นปีที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนม.ค.ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และผมมองว่าเฟดจำเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่คุมเข้ม (Restrictive Level) เอาไว้อีกระยะหนึ่ง"
บิล อดัมส์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Comerica กล่าวว่า "แม้ภาวะการซื้อขายในตลาดผันผวนในช่วงแรก แต่นักลงทุนก็ปรับตัวรับถ้อยแถลงของนายพาวเวล โดยเฉพาะความเห็นที่ว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งนักลงทุนมองว่าเฟดกำลังส่งสัญญาณผ่อนคันเร่งในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผมมองว่าแม้ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค.ออกมาแข็งแกร่งเกินคาด แต่ก็ไม่ได้ทำให้การแสดงความเห็นของนายพาวเวลเปลี่ยนแปลงไปมากนักเมื่อเทียบกับการแถลงในการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 1 ก.พ. และสิ่งที่สำคัญก็คือ นายพาวเวลมีโอกาสที่จะใช้เวทีการเสวนาครั้งล่าสุดนี้เพื่อส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุก แต่เขาไม่ทำ"
ทั้งนี้ หลังจากนายพาวเวลเสร็จสิ้นการกล่าวสุนทรพจน์ นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. แต่คาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งแรกในการประชุมเดือนธ.ค.ปีนี้
หุ้นส่วนใหญ่ในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นกว่า 4% โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 4.22% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.86% หุ้นเชฟรอน ดีดขึ้น 2.64% หุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลีย พุ่งขึ้น 4.96%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไมโครซอท์ พุ่งขึ้น 4.2% หลังจากบริษัทประกาศว่าจะนำ ChatGPT ซึ่งเป็นแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ (AI chatbot) เข้ารวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ หลังจากเมื่อไม่นานมานี้ ไมโครซอฟท์ได้เข้าลงทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์เป็นระยะเวลาหลายปีกับบริษัทโอเพ่นเอไอ (OpenAI) ซึ่งเป็นผู้พัฒนา ChatGPT
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ทะยานขึ้น 4.61% หลังกูเกิลประกาศว่า บริษัทจะเปิดการทดสอบ "บาร์ด เอไอ (Bard A.I.) เทคโนโลยีแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ที่ทางบริษัทเป็นผู้พัฒนาขึ้น ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ โดย Bard จะกลายมาเป็นคู่แข่งโดยตรงของ ChatGPT
หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 3.83% หลังบริษัทประกาศว่าจะลดจำนวนพนักงานราว 2,000 ตำแหน่งภายในปีนี้ในฝ่ายการเงินและทรัพยากรบุคคล
หุ้นไป่ตู้ ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์ก พุ่งขึ้น 12.18% หลังบริษัทประกาศเปิดตัวบริการแชตบอต "เหวินซิน อี้เหยียน" (Wenxin Yiyan) หรือ "เออร์นี บอต" (Ernie Bot) ในภาษาอังกฤษ เพื่อแข่งขันกับการบริการ ChatGPT ของบริษัทโอเพ่นเอไอ
นักลงทุนจับตาการแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ในช่วงเช้าวันนี้ (8 ก.พ.) เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย โดยการแถลงดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและรัสเซียกรณีสงครามยูเครน และการทำสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความตึงเครียดจากเหตุการณ์ล่าสุดที่สหรัฐยิงบอลลูนสอดแนมของจีน