ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (9 ก.พ.) โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงในเยอรมนี และการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ได้ช่วยบดบังความวิตกเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางชั้นนำแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมไปถึงความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 462.31 จุด เพิ่มขึ้น 2.85 จุด หรือ +0.62% หลังแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปีในการซื้อขายช่วงเช้า
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,188.36 จุด เพิ่มขึ้น 68.53 จุด หรือ +0.96%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,523.42 จุด เพิ่มขึ้น 111.37 จุด หรือ +0.72% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,911.15 จุด เพิ่มขึ้น 25.98 จุด หรือ +0.33%
สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนได้ช่วยหนุนหุ้นยุโรปปรับตัวได้ดีกว่าหุ้นสหรัฐแล้วในปีนี้ โดยดัชนี STOXX 600 เพิ่มขึ้นราว 8.8% แล้วในปีนี้ แซงหน้าดัชนี S&P 500 ที่เพิ่มขึ้น 7.5%
ข้อมูลจากรีฟินิทิฟ (Refinitiv) ระบุว่า บริษัท 93 แห่งในดัชนี STOXX 600 รายงานผลประกอบการออกมาแล้ว โดยมากกว่าครึ่งรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมหนุนตลาดขึ้นมากที่สุด โดยหุ้นซีเมนส์ ซึ่งเป็นบริษัทสร้างรถไฟและซอฟต์แวร์อุตสาหกรรมของเยอรมนี พุ่งขึ้น 6.7% หลังรายงานผลประกอบการที่ดีเกินคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายและผลกำไรทั้งปี
หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า พุ่งขึ้น 4.1% หลังคาดการณ์ว่าธุรกิจเวชภัณฑ์จะขยายตัวในปีนี้และปีต่อ ๆ ไป
หุ้นสวีโก เอบี ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างและวิศวกรรมของสวีเดน พุ่ง 15.6% หลังเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง
หุ้นธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด พุ่งขึ้นถึง 11.4% จากรายงานข่าวที่ว่า เฟิร์สต อาบู ดาบี แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นของสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด