ตลาดหุ้นยุโรปเปิดลบในวันนี้ โดยนักลงทุนยังคงประเมินผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อและข้อมูลการผลิตของสหรัฐและอังกฤษ รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ขณะที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดปรับตัวลดลง หลังนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนั้นเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ย
ดัชนี STOXX 600 เปิดที่ 463.44 จุด ลดลง 1.8 จุด หรือ -0.38% โดยหุ้นทุกกลุ่มปรับตัวในแดนลบ โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดปรับตัวลดลงที่ 1.9% ตามด้วยหุ้นกลุ่มการบริการทางการเงินที่ร่วงลง 1.3%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีเปิดวันนี้ที่ 15,372.06 จุด ลดลง 161.58 จุด หรือ -1.04% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเปิดที่ 7,311.14 จุด ลดลง 55.02 จุด หรือ -0.74%
นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ระบุเมื่อวานนี้ (16 ก.พ.) ว่า เขาสนับสนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค. ? 1 ก.พ. และเขาไม่ปฏิเสธที่จะสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 6.0% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.4% ส่วนดัชนี PPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 4.5% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายปี
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 1,000 ราย สู่ระดับ 194,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ราย โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานอยู่ต่ำกว่าระดับ 215,000 ราย ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยต่อสัปดาห์ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม หุ้นเมอร์เซเดส-เบนซ์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนี ปรับตัวขึ้น 1.8% หลังรายงานผลประกอบการปี 2565 สูงกว่าที่คาดการณ์ ขณะที่หุ้นของซิก้า บริษัทเคมีภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์ ปรับตัวขึ้น 3.3% หลังจากรายงานกำไรจากการดำเนินงานปี 2565 ดีกว่าคาดการณ์