ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (7 มี.ค.) โดยปรับตัวลงวันเดียวมากที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดแสดงความเห็นสนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 460.60 จุด ลดลง 3.58 จุด หรือ -0.77%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,339.27 จุด ลดลง 33.94 จุด หรือ -0.46%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,559.53 จุด ลดลง 94.05 จุด หรือ -0.60% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,919.48 จุด ลดลง 10.31 จุด หรือ -0.13%
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงอย่างหนัก หลังจากนายเจอโรมระบุในแถลงการณ์ที่เตรียมเปิดเผยต่อคณะกรรมาธิการด้านการธนาคารของวุฒิสภาสหรัฐว่า เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าคาดและเตรียมที่จะดำเนินการมากขึ้น หากข้อมูลบ่งชี้ว่าเฟดจำเป็นต้องดำเนินมาตรการคุมเข้มมากขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นก่อนการประชุมของเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเดือนนี้ ซึ่งตลาดเตรียมพร้อมรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกรอบ
นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี้กรุ๊ปคาดการณ์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ทั้งในเดือนมี.ค.และพ.ค. ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยแตะระดับประมาณ 4% ภายในเดือนก.ค. โดย ECB ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 จุดเปอร์เซ็นต์แล้วนับตั้งแต่เดือนก.ค.
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานปรับตัวลงตามราคาโลหะ หลังจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และถูกกดดันจากความเห็นของนายพาวเวล
หุ้นหลุยส์วิตตอง (LVMH) ของฝรั่งเศส ร่วง 1.1% หลังจีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่อ่อนแอ
หุ้นเฮงเค็ล (Henkel) ของเยอรมนี ร่วง 2.7% จากการคาดการณ์ที่ว่า อุปสงค์จากภาคอุตสาหกรรมและผู้บริโภคที่ชะลอลงจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของยอดขายในปีนี้