ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (14 มี.ค.) โดยเป็นการปรับตัวขึ้นวันเดียวมากที่สุดในรอบเกือบ 3 เดือน หลังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคารซึ่งร่วงลงก่อนหน้านี้จากวิกฤตล้มละลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 449.56 จุด เพิ่มขึ้น 6.76 จุด หรือ +1.53%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,141.57 จุด เพิ่มขึ้น 130.07 จุด หรือ +1.86%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,232.83 จุด เพิ่มขึ้น 273.36 จุด หรือ +1.83% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,637.11 จุด เพิ่มขึ้น 88.48 จุด หรือ +1.17%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นหลังจากร่วงลงรุนแรงที่สุด 3 วันรวม 3.9% ในปีนี้ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรปดีดตัวขึ้น 2.5% หลังถูกเทขายวันเดียวหนักที่สุดในรอบกว่า 1 ปีเมื่อวันจันทร์ เนื่องจากการที่หน่วยงานควบคุมกฎระเบียบของสหรัฐได้เข้าค้ำประกันเงินฝากของ SVB นั้นไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้
ตลาดได้แรงหนุนหลังนายโอลาฟ โชลซ์ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนีแสดงความเห็นว่า เยอรมนีไม่ควรมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการล้มละลายของ SVB และกล่าวว่า ผู้ควบคุมกฎระเบียบได้เรียนรู้บทเรียนต่าง ๆ จากวิกฤตการเงินโลกในปี 2551 แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นตามคาด และสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่น้อยลงในสัปดาห์หน้า
บรรดานักลงทุนจะรอการลงมติเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ขณะที่ธนาคารดอยซ์ แบงก์คาดว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หลังจากการล้มละลายของ SVB
หุ้นกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมนำตลาดปรับตัวขึ้น โดยหุ้นโรลส์-รอยซ์ พุ่ง 7% และหุ้นบีเออี ซิสเตมส์ของอังกฤษ พุ่งขึ้น 3.3%
หุ้นคาสิโน ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตค้าปลีกของฝรั่งเศส พุ่งขึ้น 7.3% หลังประกาศขายหุ้นใน Assai เชนซูเปอร์มาร์เก็ตของบราซิลเพื่อลดหนี้