ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (17 มี.ค.) และร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่มาตรการสนับสนุนภาคธนาคารของรัฐบาลสหรัฐและยุโรปไม่ได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตธนาคารระดับโลก
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 436.31 จุด ลดลง 5.33 จุด หรือ -1.21%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,925.40 จุด ลดลง 100.32 จุด หรือ -1.43%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,768.20 จุด ลดลง 198.90 จุด หรือ -1.33% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,335.40 จุด ลดลง 74.63 จุด หรือ -1.01%
หุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มประกัน และกลุ่มบริการทางการเงิน ถ่วงตลาดลง โดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ร่วง 2.6% ขณะที่หุ้นเอชเอสบีซี, บีเอ็นพี พาริบาส์, อลิอันซ์ เอสอี และยูบีเอส กรุ๊ป ร่วง 1-3%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นในช่วงแรกขานรับข่าวธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐประกาศอัดฉีดเม็ดเงินรวมกันถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ธนาคารเฟิร์สท์ รีพับลิค แบงก์ (First Republic Bank ? FRB) ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาคของสหรัฐ และยังขานรับการที่เครดิต สวิส ประกาศขอกู้ยืมเงินจากธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์จำนวน 5 หมื่นล้านฟรังก์สวิส ภายใต้โครงการจัดหาเงินกู้แบบครอบคลุมและการจัดหาสภาพคล่องในระยะสั้น
แต่ต่อมาราคาหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง หลังจากมีรายงานว่าเอสวีบี ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank ? SVB) ได้ยื่นเรื่องต่อศาลนิวยอร์กเพื่อขอรับการพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลาย
ดัชนี STOXX600 ร่วงลงเกือบ 4% ในสัปดาห์นี้ โดยกลุ่มธนาคารร่วงหนักถึง 11.5%
หุ้นเครดิต สวิส ร่วง 8% หลังพุ่ง 19% ในวันพฤหัสบดี
ตลาดหุ้นสเปนและอิตาลีร่วงเกือบ 2% และร่วงลงรายสัปดาห์รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี และ 9 เดือนตามลำดับ
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า (21-22 มี.ค.) โดยบรรดาเทรดเดอร์คาดว่า มีโอกาส 67% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%