ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุดในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนผิดหวังต่อการเปิดเผยผลประกอบการของมอร์แกน สแตนลีย์
ณ เวลา 20.00 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 133 จุด หรือ 0.39% สู่ระดับ 33,991 จุด
ข้อมูลจาก Refinitiv IBES ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะรายงานตัวเลขกำไรลดลง 5.2% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้น 1.4% ในไตรมาสดังกล่าว
ราคาหุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ดิ่งลงกว่า 4% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นนิวยอร์กในวันนี้ หลังเปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรและรายได้ที่ลดลงในไตรมาส 1/2566 โดยได้รับผลกระทบจากภาวะซบเซาของธุรกิจวาณิชธนกิจ
นอกจากนี้ นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 88.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 11.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากเฟดในคืนนี้
ทั้งนี้ Beige Book เป็นรายงานซึ่งจะมีการเปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเป็นการประเมินภาวะเศรษฐกิจจากเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งประจำอยู่ใน 12 เขตเศรษฐกิจของสหรัฐ
นอกจากนี้ Beige Book เป็นรายงานที่มีการรวบรวมข้อมูลจากมุมมองของผู้นำธุรกิจ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในภูมิภาค ทำให้ Beige Book สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง
ตลาดจับตาการรายงาน Beige Book ดังกล่าว ซึ่งจะบ่งชี้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ หลังเผชิญวิกฤตภาคธนาคารในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะมีการเปิดเผยในวันที่ 28 เม.ย. โดยดัชนีดังกล่าวเป็นข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญตัวสุดท้ายก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 2-3 พ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)