ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (21 เม.ย.) เป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน อาทิ เอสเอพี (SAP) และเอสซีลอร์ลูซอตติกา (EssilorLuxottica) ซึ่งช่วยชดเชยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 469.00 จุด เพิ่มขึ้น 1.57 จุด หรือ +0.34%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,577.00 จุด เพิ่มขึ้น 38.29 จุด หรือ +0.51%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,881.66 จุด เพิ่มขึ้น 85.69 จุด หรือ +0.54% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,914.13 จุด เพิ่มขึ้น 11.52 จุด หรือ +0.15%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นมากกว่า 2% แล้วในเดือนนี้ เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตธนาคารคลี่คลายลงและนักลงทุนจับตาการรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังผลสำรวจบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนฟื้นตัวมากเกินคาดในเดือนเม.ย. โดยภาคบริการมีอุปสงค์เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการร่วงลงของภาคการผลิต
เอสแอนด์พี โกลบอล รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของสหภาพยุโรป (อียู) อยู่ที่ 54.4 ในเดือนเม.ย. ทำสถิติสูงสุดในรอบ 11 เดือน เพิ่มขึ้นจากระดับ 53.7 ในเดือนมี.ค.
ดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า กิจกรรมภาคธุรกิจของอียูอยู่ในภาวะขยายตัว และตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าที่โพลล์ของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดไว้ว่าดัชนี PMI จะคงระดับเดิม
สำหรับหุ้นบวกนำตลาดได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีของยุโรป ปรับตัวขึ้น 0.9% และกลุ่มเฮลท์แคร์ บวก 1.7%
หุ้นเอสเอพีซึ่งเป็นบริษัทผลิตซอฟต์แวร์ธุรกิจพุ่งขึ้น 5.2% สู่ระดับสูงสุดในรอบมากกว่า 1 ปี หลังรายงานรายได้ไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และเปิดเผยว่าบริษัทวางแผนที่จะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (generative AI) ในผลิตภัณฑ์ของบริษัท
หุ้นเอสซีลอร์ลูซอตติกา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแว่นตาหรู พุ่งขึ้น 6.3% หลังรายงานรายได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกเนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ในจีน
แต่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 3.8% แตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน โดยปรับตัวลงตามราคาทองแดงที่ลดลงจากแนวโน้มอุปสงค์ที่ซบเซา
หุ้นกลุ่มเหมืองยังถูกกดดันจากข่าวที่ว่าชิลีวางแผนที่จะเข้าควบคุมอุตสาหกรรมลิเทียม โดยชิลีเป็นประเทศที่ผลิตลิเทียมรายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลก โดยลิเทียมเป็นโลหะที่สำคัญในการผลิตแบตเตอรีที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า
หุ้นริโอ ทินโต ร่วง 5.8% หลังเจพีมอร์แกนปรับลดเป้าหมายราคาหุ้น