ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 200 จุด ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
ณ เวลา 20.58 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,536.22 จุด บวก 234.35 จุด หรือ 0.70%
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ รวมทั้งแคทเธอร์ พิลลาร์, คอมแคสต์ และเฮิร์ซ
ขณะเดียวกัน สหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2566 ที่ต่ำกว่าคาดในวันนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าเป็นสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 สำหรับ GDP ประจำไตรมาส 1/2566 ในวันนี้ โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 1.1% ในไตรมาสดังกล่าว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.0%
อย่างไรก็ดี ตัวเลขการขยายตัวดังกล่าว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ในแบบจำลองที่เฟดสาขาแอตแลนตาเปิดเผยวานนี้ ซึ่งระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.1% ในไตรมาส 1/2566
สำหรับในปี 2565 เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.6% ในไตรมาส 1 และ 0.6% ในไตรมาส 2 ทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค ก่อนที่มีการขยายตัว 3.2% และ 2.6% ในไตรมาส 3 และ 4 ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาตลอดทั้งปี 2565 เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.1% หลังจากพุ่งแตะระดับ 5.9% ในปี 2564
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ราย สู่ระดับ 230,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 249,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลงสู่ระดับ 236,000 ราย
ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 1.86 ล้านราย
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทแอมะซอนและอินเทล หลังจากปิดตลาดวันนี้
นอกจากนี้ ตลาดจับตาดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันพรุ่งนี้ โดยดัชนีดังกล่าวเป็นข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญตัวสุดท้ายก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 2-3 พ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)