ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันพฤหัสบดี (4 พ.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ รวมทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,702.64 จุด ลดลง 85.73 จุด หรือ -1.10%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 1.8% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนที่ส่งสัญญาณชะลอตัว โดยผลสำรวจของไฉซินและเอสแอนด์พี โกลบอลระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนลดลงสู่ระดับ 49.5 ในเดือนเม.ย. จากระดับ 50 ในเดือนมี.ค.
ทั้งนี่ ดัชนี PMI อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนหดตัวลง และเป็นการหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ ECB มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ติดต่อกัน โดย ECB ระบุว่า เงินเฟ้อในยูโรโซนยังคงมีแนวโน้มอยู่สูงเกินไปและนานเกินไป ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ECB จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป
ขณะที่เฟดมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (3 พ.ค.) โดยแม้ว่าแถลงการณ์ของคณะกรรมการเฟดบ่งชี้ว่าเฟดจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมาย และต้องใช้เวลากว่าจะปรับตัวลง เฟดจึงมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่มีความเหมาะสมในขณะนี้
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น 1.5% นำโดยหุ้นเชลล์พุ่งขึ้น 2.2% หลังจากบริษัทมีกำไรสุทธิ 9.65 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์