ตลาดหุ้นยุโรปปิดทรงตัวในวันจันทร์ (22 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนรอผลการเจรจาเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐ ขณะที่ประแนวโน้มนโยบายการเงินในสหรัฐและยุโรป
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 468.91 จุด เพิ่มขึ้น 0.06 จุด หรือ +0.01%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,478.16 จุด ลดลง 13.80 จุด หรือ -0.18%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 16,223.99 จุด ลดลง 51.39 จุด หรือ -0.32% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,770.99 จุด เพิ่มขึ้น 14.12 จุด หรือ +0.18%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง หลังแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีเมื่อวันศุกร์ ขณะนักลงทุนรอผลการเจรจาเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนและนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะประชุมกันในวันจันทร์เพื่อหารือเรื่องการปรับเพิ่มเพดานหนี้ของ รัฐบาลกลางสหรัฐ ขณะที่เหลือเวลาเพียง 10 วันที่สหรัฐอาจจะผิดนัดชำระหนี้
นายฟรองซัวส์ วิลเลรอย เดอ กาลโฮ ผู้กำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ECB อาจจะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิ้นฤดูร้อนนี้ อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญคืออัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับสูงไปอีกนานเพียงใด
ส่วนนายฟิลิป เลน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ECB ระบุว่า นโยบายของ ECB มีประสิทธิภาพ และนักลงทุนดูเหมือนยังคงมีความเชื่อมั่นในความสามารถของ ECB ที่จะทำให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายที่ระดับ 2%
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยูโรโซนเพิ่มขึ้น 0.1 จุดในเดือนพ.ค.จากเดือนเม.ย.
ราคาพันธบัตรรัฐบาลกรีซปรับตัวดีกว่าของประเทศอื่น ๆ ในวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลการเลือกตั้งทั่วประเทศซึ่งคาดว่าจะทำให้มีนโยบายที่ต่อเนื่องในการส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจและลดหนี้สินของประเทศ
หุ้นชิปของยุโรปไม่ได้รับผลกระทบจากการที่จีนห้ามบริษัทไมครอน เทคโนโลยี อิงค์ของสหรัฐในการขายเมมโมรี ชิปให้กับอุตสาหกรรมที่สำคัญ ๆ ของจีน โดยหุ้นเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ และหุ้นเอเอสเอ็ม อินเทอร์เนชันแนล ปรับตัวขึ้น 0.7% และ 1.9% ตามลำดับ
ส่วนหุ้นรายตัวอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้น อาทิ หุ้นไรอันแอร์ บวก 1.3% หลังนายไมเคิล โอเลียรี ซีอีโอตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มผลกำไรของบริษัทราว 10% ในปีนี้