ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันพุธ (24 พ.ค.) จากแรงเทขายลอตใหม่ซึ่งฉุดตลาดลงวันเดียวมากที่สุดในรอบ 2 เดือน ท่ามกลางความวิตกว่าแทบไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐ ขณะที่การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของอังกฤษ และการที่หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราร่วงลงอีกนั้นได้ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขาย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 457.65 จุด ร่วงลง 8.45 จุด หรือ -1.81%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,253.46 จุด ลดลง 125.25 จุด หรือ -1.70%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,842.13 จุด ลดลง 310.73 จุด หรือ -1.92% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,627.10 จุด ลดลง 135.85 จุด หรือ -1.75%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงวันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเพดานหนี้ของสหรัฐ
นายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเปิดเผยว่า ผู้เจรจาเรื่องเพดานหนี้จากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันจะประชุมกันต่อไปที่ทำเนียบขาวในวันพุธตามเวลาสหรัฐ
หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงหนักที่สุด โดยร่วง 3.0% ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มเดินทางและนันทนาการและหุ้นประกัน ซึ่งร่วงลงกว่า 2%
หุ้นกลุ่มก่อสร้างบ้านของอังกฤษลดลง หลังข้อมูลบ่งชี้ว่า การขยายตัวของเงินเฟ้อพื้นฐานในอังกฤษพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 31 ปีในเดือนเม.ย. ซึ่งตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางอังกฤษจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
ธนาคารกลางไอซ์แลนด์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.25% สู่ระดับ 8.75% และระบุว่าเงินเฟ้อยังคงปรับตัวขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากผลสำรวจที่บ่งชี้ว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีลดลงเกินคาดในเดือนพ.ค.
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราของยุโรปร่วงลง 1.7% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์
ส่วนหุ้นรายตัวที่ร่วงลง อาทิ หุ้นแอมเบรเซอร์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทเกมของสวีเดน ร่วง 44.8% หลังปรับลดคาดการณ์รายได้ทั้งปี