ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพฤหัสบดี (25 พ.ค.) โดยนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐที่ยังคงยืดเยื้อ อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นกว่า 200 จุด หลังจากหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้นขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาด และเป็นปัจจัยหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ที่เป็นผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบท
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 32,764.65 จุด ลดลง 35.27 จุด หรือ -0.11%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,151.28 จุด เพิ่มขึ้น 36.04 จุด หรือ +0.88% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,698.09 จุด พุ่งขึ้น 213.93 จุด หรือ +1.71%
อินวิเดีย ซึ่งเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งในเดือนก.พ.-เม.ย. ซึ่งเป็นไตรมาส 1 ของปีงบการเงิน 2567 โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้น 1.09 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 92 เซนต์ และมีรายได้อยู่ที่ 7.19 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 6.52 พันล้านดอลลาร์
อินวิเดียคาดการณ์ว่า ยอดขายในไตรมาสปัจจุบันจะอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 7.15 พันล้านดอลลาร์ โดยผลประกอบการของบริษัทได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์ชิปที่ใช้ในเทคโนโลยี AI
ข่าวดังกล่าวช่วยให้ราคาหุ้นอินวิเดียทะยานขึ้น 24.37% ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังเป็นปัจจัยหนุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนา AI และบริษัทผลิตชิปรายอื่น ๆ ดีดตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 3.85% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 2.13% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD) พุ่งขึ้น 11.16% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี พุ่งขึ้น 4.63% หุ้นบรอดคอม พุ่งขึ้น 7.25%
ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ตลาดฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) พุ่งขึ้น 6.8% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปี ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของอินวิเดียเช่นกัน
หุ้นเบสท์บาย ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกสินค้าอิเลกทรอนิกส์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 3.08% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 1.15 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.11 ดอลลาร์
หุ้นดอลลาร์ ทรี (Dollar Tree) ซึ่งเป็นเครือข่ายค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 12.03% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1 อยู่ที่ 1.47 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.52 ดอลลาร์
นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐ ขณะที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศให้เครดิตพินิจ (Rating Watch) ของสหรัฐเป็นเชิงลบ และเตือนว่าอาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ AAA เนื่องจากการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งอาจจะส่งผลให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
รายงานล่าสุดระบุว่า ขณะนี้ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสมีความเห็นต่างกันในบางประเด็น ซึ่งรวมถึงประเด็นการใช้จ่ายในโครงการที่ริเริ่มโดยพรรคเดโมแครต เช่นการจัดหาที่อยู่อาศัยและการศึกษา ซึ่งมีมูลค่าราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2566 โดยระบุว่า GDP ขยายตัว 1.3% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.1% และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ระดับ 1.1%
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 4,000 ราย สู่ระดับ 229,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 245,000 ราย
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนเม.ย.ของสหรัฐในวันนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)