ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพฤหัสบดี (25 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับปัญหาเพดานหนี้ของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 456.18 จุด ลดลง 1.47 จุด หรือ -0.32%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,229.27 จุด ลดลง 24.19 จุด หรือ -0.33%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,793.80 จุด ลดลง 48.33 จุด หรือ -0.31% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,570.87 จุด ลดลง 56.23 จุด หรือ -0.74%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันราว 2.7% หลังถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราที่ร่วงลงในช่วงที่ผ่านมา และการที่ยังไม่มีความคืบหน้าในการเจรจาเรื่องเพดานหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐ
สื่อรายงานว่า นายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐไม่แน่ใจว่า ผู้เจรจาของสภาคองเกรสและทำเนียบขาวจะสามารถบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้หรือไม่ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งเพิ่มความวิตกว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์
หุ้นกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดลงมากที่สุด เนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงลง
ส่วนหุ้นรายตัวนั้น หุ้นซีเนเวิลด์ ร่วง 8.2% แม้บริษัทประกาศว่าจะออกจากการพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 11 ของกฎหมายล้มละลายในเดือนก.ค.ก็ตาม
แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีบวกสวนตลาด โดยได้แรงหนุนจากหุ้นบริษัทผลิตชิปของยุโรป หลังอินวิเดีย คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปของสหรัฐที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกคาดการณ์รายได้รายไตรมาสสูงกว่าประมาณการมากกว่า 50%
หุ้นบีอี เซมิคอนดักเตอร์ พุ่ง 7.6% ขณะที่หุ้นเอเอสเอ็ม อินเตอร์เนชันแนล พุ่ง 8.6% และหุ้นเอเอสเอ็มแอล โฮลดิง พุ่ง 5%
สำหรับตลาดหุ้นเยอรมนีนั้นปรับตัวลง หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป หดตัวลงในไตรมาส 1/2566 ซึ่งส่งสัญญาณถึงภาวะถดถอย