ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (23 มิ.ย.) โดยถูกกดดันจากแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกนาน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 453.14 จุด ลดลง 1.56 จุด หรือ -0.34%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,163.42 จุด ลดลง 39.86 จุด หรือ -0.55%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,829.94 จุด ลดลง 158.22 จุด หรือ -0.99% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,461.87 จุด ลดลง 40.16 จุด หรือ -0.54%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลง หลังจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า การขยายตัวทางธุรกิจของยูโรโซนชะงักงันในเดือนมิ.ย. เนื่องจากการผลิตชะลอตัวลงรุนแรงขึ้น
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลง 2.9% ในรอบสัปดาห์นี้ และเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 3 เดือน เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าธนาคารกลางรายใหญ่ต่าง ๆ จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง อาทิ ธนาคารกลางอังกฤษ, ธนาคารกลางนอร์เวย์ และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์
นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอันเนื่องมาจากผลกระทบของวงจรการคุมเข้มนโยบายการเงิน และกังวลว่า เศรษฐกิจอังกฤษจะถดถอยหลังธนาคารกลางอังกฤษปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
หุ้นซีเมนส์ เอเนอร์จี (Siemens Energy) ของเยอรมนี ร่วง 37.3% หลังเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มผลกำไรของบริษัท หลังจากเตือนว่าปัญหาด้านคุณภาพของธุรกิจกังหันลมซีเมนส์ กามินซา (Siemens Gamesa) นั้นจะส่งผลกระทบเป็นเวลาหลายปี
หุ้นกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานร่วงลงเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน และปรับตัวลง 7.9% ในรอบสัปดาห์นี้
หุ้นโอคาโด ซึ่งทำธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ร่วงลง 5.3% เนื่องจากยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องการซื้อกิจการ
ส่วนหุ้นแกล็กโซสมิทไคล์น (GSK) พุ่ง 4.9% สวนทางตลาด หลังบริษัทยุติคดีฟ้องร้องในสหรัฐที่ว่า ยา Zantac ซึ่งเป็นยาแก้อาการเสียดท้องของ GSK นั้น ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง