ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (28 มิ.ย.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดบวกเล็กน้อย โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2566 ของสหรัฐในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,852.66 จุด ลดลง 74.08 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,376.86 จุด ลดลง 1.55 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,591.75 จุด เพิ่มขึ้น 36.08 จุด หรือ +0.27%
นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์ในงานเสวนาว่าด้วยนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ซึ่งธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดขึ้นที่ประเทศโปรตุเกสเมื่อวานนี้ว่า เขาไม่คิดว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่ระดับเป้าหมายของเฟดในปีนี้หรือปีหน้า และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาก็พบว่า เศรษฐกิจขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะตึงตัวมากกว่าคาด และเงินเฟ้อสูงกว่าคาดเช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้บ่งชี้ว่า แม้นโยบายที่เฟดใช้มีความเข้มงวด แต่ก็อาจจะยังเข้มงวดไม่เพียงพอ และยังใช้เวลานานไม่เพียงพอ
ในระหว่างการเสวนา มีผู้ตั้งคำถามว่า ต่อจากนี้เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งเว้นครั้ง หลังจากที่ได้พักการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้หรือไม่ ซึ่งนายพาวเวลตอบว่า "สิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ผมไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งติดต่อกัน"
ถ้อยแถลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า นายพาวเวลกำลังส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งติดต่อกัน เพื่อสกัดเงินเฟ้อและชะลอความร้อนแรงของตลาดแรงงาน โดยการประชุมเฟดครั้งถัดไปจะมีขึ้นในวันที่ 25-26 ก.ค. และจากนั้นจะมีขึ้นในวันที่ 19-20 ก.ย.
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วงลง 1.48% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร ปรับตัวขึ้น 1.02% และ 0.80% ตามลำดับ
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง 0.5% ก่อนที่เฟดจะเปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของภาคธนาคารประจำปีในวันพุธที่ 28 มิ.ย.หลังตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ โดยการทดสอบดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะประเมินว่าธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องรักษาฐานเงินทุนจำนวนมากเท่าใด และสามารถซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลได้มากเท่าใด
หุ้นเจเนอรัล มิลส์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป ร่วงลง 5% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรปีงบการเงิน 2566 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นและเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 2.41% หุ้นแอปเปิ้ล เพิ่มขึ้น 0.63% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 0.38% หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 1.56% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 3.06%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มบริษัทผลิตชิปร่วงลง นำโดยหุ้นอินวิเดียร่วงลง 1.81% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า สหรัฐเตรียมออกมาตรการใหม่ในการจำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค. โดยบริษัทผู้ผลิตชิปของสหรัฐที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวนั้น รวมถึงบริษัทอินวิเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปกราฟฟิกที่ใช้ในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีเบื้องหลังแชตบอต ChatGPT ของบริษัทโอเพนเอไอ และแชตบอต Bard ของบริษัทอัลฟาเบท
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2566 และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนพ.ค.
ส่วนในวันพรุ่งนี้ สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)