ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพฤหัสบดี (29 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐทั้ง 23 แห่งสามารถผ่านการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) โดยรายงานดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของสหรัฐ และช่วยบดบังปัจจัยลบจากความวิตกกังวลว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,122.42 จุด เพิ่มขึ้น 269.76 จุด หรือ +0.80%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,396.44 จุด เพิ่มขึ้น 19.58 จุด หรือ +0.45% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,591.33 จุด ลดลง 0.42 จุด หรือ -0.003%
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร (S&P 500 Banks Index) พุ่งขึ้น 2.6% ขณะที่ดัชนี KBW หุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาคดีดตัวขึ้น 1.8% หลังจากเฟดเปิดเผยผลการทดสอบ Stress Test ประจำปีของภาคธนาคาร โดยระบุว่า ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐทั้ง 23 แห่งผ่านการทดสอบดังกล่าว โดยมีสถานะแข็งแกร่งมากพอที่จะรับมือกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ขณะเดียวกันก็ยังสามารถปล่อยกู้ให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจได้ แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับภาวะถดถอยรุนแรง
การทดสอบ Stress Test ในปีนี้ครอบคลุมถึงการทดสอบว่าธนาคารของสหรัฐจะสามารถรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงได้หรือไม่ รวมทั้งกรณีที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์และราคาบ้านทรุดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ และกรณีที่อัตราการว่างงานพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 10% ซึ่งภายใต้การทดสอบสถานการณ์เหล่านี้ เฟดพบว่า ธนาคารรายใหญ่ทั้ง 23 แห่งยังคงมีเงินทุนขั้นต่ำสูงกว่าข้อกำหนดในช่วงที่เศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง แม้คาดว่าธนาคารเหล่านี้อาจขาดทุนรวมกันมากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ก็ตาม
สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2566 ขยายตัว 2.0% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.4% และสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ระดับ 1.1% และ 1.3% ตามลำดับ ขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 26,000 ราย สู่ระดับ 239,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 265,000 ราย
โมนา มาฮาจาน นักวิเคราะห์จากบริษัท Edward Jones กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาดส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อหุ้นเติบโต (Growth Stocks) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย แต่ในขณะเดียวกันข้อมูลดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนหุ้นคุณค่า (Value Stocks) และหุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks) ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เช่นหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มขนส่ง
นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 90% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค. หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลข GDP และข้อมูลแรงงานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณครั้งล่าสุดว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้
หุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 1.8% หลังจากบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประกาศเพิ่มการถือครองหุ้นในออคซิเดนเชียล ปิโตรเลียมสู่ระดับสูงกว่า 25%
หุ้นไนกี้ ดีดตัวขึ้น 0.3% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของยอดขายรองเท้ากีฬา ซึ่งรวมถึงรองเท้ารุ่น Air Jordan และ LeBron 20
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ประจำเดือนพ.ค.ของสหรัฐในวันนี้อย่างใกล้ชิด โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)