ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (7 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 447.65 จุด เพิ่มขึ้น 0.43 จุด หรือ +0.10% แต่ปรับตัวลง 3.1% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,111.88 จุด เพิ่มขึ้น 29.59 จุด หรือ +0.42%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,603.40 จุด เพิ่มขึ้น 74.86 จุด หรือ +0.48% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,256.94 จุด ลดลง 23.56 จุด หรือ -0.32%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่งในเดือนมิ.ย.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 209,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนน้อยที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563 และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 225,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของค่าจ้างในสหรัฐบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงตึงตัวซึ่งตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเดือนก.ค.นี้สู่ระดับ 5.25%-5.5% แต่ไม่แน่ใจว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหรือไม่หลังจากนั้น
หุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์นำตลาดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ โดยบวก 1.6%
ส่วนหุ้นกลุ่มก่อสร้างและวัสดุ, กลุ่มเฮลท์แคร์ รวมถึงกลุ่มเดินทางและนันทนาการปรับตัวลงกว่า 4% ในรอบสัปดาห์นี้ และกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวขึ้น 0.4%
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นโคคา โคลา เอชบีซี พุ่งขึ้น 5.1% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปีนี้ และหุ้นคลาเรียนท์ พุ่ง 4.9% หลังร่วงลงในช่วงแรก ขณะที่บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ขั้นต้นบ่งชี้ว่า ยอดขายและแนวโน้มผลประกอบการในปีนี้อ่อนแอลง