ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (11 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ขณะที่จีนขยายมาตรการด้านนโยบายเพื่อช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวย่ำแย่
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 451.72 จุด เพิ่มขึ้น 3.25 จุด หรือ +0.72%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,220.01 จุด เพิ่มขึ้น 76.32 จุด หรือ +1.07%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,790.34 จุด เพิ่มขึ้น 117.18 จุด หรือ +0.75% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,282.52 จุด เพิ่มขึ้น 8.73 จุด หรือ +0.12%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่เป็นหนึ่งในกลุ่มที่นำตลาดปรับตัวขึ้น โดยเพิ่มขึ้น 1.8% เนื่องจากราคาโลหะปรับตัวขึ้นจากการที่จีนออกมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยจีนขยายการใช้นโยบายเพื่อช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ออกไปจนถึงปี 2567
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราที่พึ่งพาอุปสงค์จากจีน อาทิ แอลวีเอ็มเอช, แอร์เมส และริชมอนด์ ปรับตัวขึ้น 2-3% และหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวต่อการปรับตัวของเศรษฐกิจจีนก็ปรับตัวขึ้น 1.0% ด้วย
เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายได้ส่งสัญญาณว่า เฟดใกล้สิ้นสุดวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ขณะที่ตลาดรอคอยการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันพุธนี้เพื่อบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐชะลอตัวลงอย่างมากหรือไม่
สำหรับหุ้นรายตัวที่ช่วยหนุนตลาด อาทิ หุ้นนอร์ดิก เซมิคอนดักเตอร์ พุ่งขึ้น 7.3% หลังเปิดเผยคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2 สูงกว่าคาด
หุ้นเดมเลอร์ ทรัก พุ่ง 2.5% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรและรายได้ หลังจากภาวะติดขัดด้านห่วงโซ่อุปทานคลี่คลาย
หุ้นเมอร์ซีเดส-เบนซ์ กรุ๊ป บวก 0.7% หลังยอดขายในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบเป็นรายปีโดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์รถยนต์ไฟฟ้า