ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (14 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน แต่ดัชนี S&P 500 ปิดลดลงเล็กน้อย โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มการเงินปรับตัวลงเป็นส่วนใหญ่หลังจากเริ่มต้นการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2566 อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,509.03 จุด เพิ่มขึ้น 113.89 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,505.42 จุด ลดลง 4.62 จุด หรือ -0.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,113.70 จุด ลดลง 24.87 จุด หรือ -0.18%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 2.3%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.4% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.3% ดัชนี S&P500 ยังคงบวกขึ้นได้ 17% ในปีนี้
ดัชนีดาวโจนส์ได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ กรุ๊ป หลังจากเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาด
หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ พุ่งขึ้น 7.2% และหุ้นบริษัทประกันสุขภาพอื่น ๆ ปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นฮูมานา ปิดบวก 2.5% และหุ้นซิกนา พุ่งขึ้น 4.7%
แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารใน S&P500 ปรับตัวลง 0.9% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส บวก 0.6% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.3% โดยทั้งสองธนาคารรายงานผลกำไรรายไตรมาสเพิ่มขึ้น แต่ระบุว่าได้กันสำรองเงินไว้มากขึ้นเผื่อหนี้เสียจากเงินกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์
หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงินถ่วงดัชนี S&P500 ลงมากที่สุด โดยร่วงลง 2.8% และ 0.7% ตามลำดับ
หุ้นซิตี้กรุ๊ป ร่วงลง 4% หลังเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสลดลง ขณะที่หุ้นแบล็กร็อก ร่วง 1.5% หลังเปิดเผยรายได้รายไตรมาสลดลง
นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารถูกเทขาย หลังจากที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนี S&P หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงหลังบวก 5 วันติดต่อกัน โดยดัชนี KBW หุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาค ปรับตัวลง 1.9%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงด้วย หลังจากปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี
ส่วนหุ้นเทสลาพุ่งขึ้น 1.3% สวนทางตลาด ก่อนการรายงานประกอบการในวันพุธหน้า
ตลาดขานรับการเปิดเผยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในวันศุกร์ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 72.6 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2564 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 65.5 จากระดับ 64.4 ในเดือนมิ.ย.
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/2566 ขณะที่ข้อมูลจากรีฟินิทิฟบ่งชี้ว่า นักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทในดัชนี S&P500 อาจลดลง 8.1% ในไตรมาส 2/2566 เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่บริษัทส่วนใหญ่มีแนวโน้มเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด