ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อยในวันศุกร์ (14 ก.ค.) แต่พุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้เป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดในรอบกว่า 3 เดือนจากความหวังว่าเงินเฟ้อที่ชะลอตัวในสหรัฐจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 460.83 จุด ลดลง 0.53 จุด หรือ -0.11%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,374.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.74 จุด หรือ +0.06%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 16,105.07 จุด ลดลง 35.96 จุด หรือ -0.22% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,434.57 จุด ลดลง 5.64 จุด หรือ -0.08%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงหลังจากบวกขึ้น 5 วันทำการที่ผ่านมา โดยตลาดถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซที่ร่วงลง 2.1% หลังจากราคาน้ำมันดิบลดลง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเกือบ 3% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นเดือนมี.ค. โดยฟื้นตัวขึ้นจากการติดลบเกือบทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมา
ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้เข้าสู่ภาวะที่เงินเฟ้อชะลอตัวลง และเฟดอาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ หลังจากปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนก.ค.นี้
นักวิเคราะห์กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยูโรโซนลดลง เนื่องจากเทรดเดอร์เริ่มปรับลดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB)
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง 1.0% แต่ยังคงปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดถึง 5.7% เนื่องจากราคาโลหะได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
หุ้นกลุ่มเทเลคอมร่วงลง 1.3% โดยหุ้นโนเกีย ร่วงกว่า 9% หลังปรับลดคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการทั้งปี
หุ้นอีริคสันร่วงลง 10.6% หลังรายงานผลกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับแล้วร่วงลง 62% ในไตรมาส 2/2566
แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย บวก 6% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.
บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในยูโรโซน หลังจากบริษัทสหรัฐ อาทิ เจพีมอร์แกน, เวลส์ ฟาร์โก, ซิตี้ และแบล็กร็อก เริ่มรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ที่ดีกว่าคาด