ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดในแดนลบ แต่ต่อมาพลิกพุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ขณะที่นักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาด
ณ เวลา 20.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,732.79 จุด บวก 147.44 จุด หรือ 0.43%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค.
ยอดค้าปลีกได้รับผลกระทบจากยอดขายของสถานีบริการน้ำมันซึ่งดิ่งลง 1.4% ในเดือนมิ.ย.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมิ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ค.
ขณะเดียวกัน ดัชนีดาวโจนส์ได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์จะช่วยเพิ่มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น และช่วยลดต้นทุนการชำระหนี้ของบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้สามารถเพิ่มการลงทุน และเพิ่มการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นอกจากนี้ ตลาดได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
แบงก์ ออฟ อเมริกา และมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2/2566
ข้อมูลจาก FactSet ระบุว่า บรรดาบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 แล้ว พบว่า 82% ในจำนวนดังกล่าวมีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้