ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 10 ในวันศุกร์ (21 ก.ค.) โดยทำสถิติขาขึ้นยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 6 ปีนับตั้งแต่ปี 2560
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,227.69 จุด เพิ่มขึ้น 2.51 จุด หรือ +0.01%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,536.34 จุด เพิ่มขึ้น 1.47 จุด หรือ +0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,032.81 จุด ลดลง 30.50 จุด หรือ -0.22%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์บวก 2.1%, ดัชนี S&P500 บวก 0.7% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.6%
ดัชนีดาวโจนส์ได้แรงหนุนจากการที่หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล และหุ้นเชฟรอน ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1%
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมากกว่า 6% แล้วในปีนี้ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น 18% และดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้นราว 34% โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI), การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม บรรดานักลงทุนยังคงมีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟดในระยะยาว แม้คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมวันที่ 25-26 ก.ค.นี้ก็ตาม
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคของดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 1.5% และหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ บวก 1%
ส่วนหุ้นอินวิเดียและหุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ร่วงลงมากกว่า 2% ในการซื้อขายที่ผันผวน
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 2.3% โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังการเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน
หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ร่วงลง 3.9% หลังเปิดเผยรายได้รายไตรมาสต่ำกว่าคาด ขณะยืนยันคาดการณ์ผลกำไรทั้งปี
บรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า การซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนในวันศุกร์นั้นยังเป็นผลมาจากการครบกำหนดส่งมอบออปชันหุ้นรายเดือนด้วย