ดัชนีดาวโจนส์พลิกร่วงลงสู่แดนลบ ขณะที่นักลงทุนขายลดความเสี่ยง ก่อนการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้
ณ เวลา 23.21 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,916.30 จุด ลบ 30.09 จุด หรือ 0.09%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในการซื้อขายช่วงแรก ขณะที่นักลงทุนส่งแรงซื้อเก็งกำไรเข้าตลาด หลังราคาหุ้นดิ่งลงอย่างหนักวานนี้
ทั้งนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งกว่า 300 จุด หลุดระดับ 35,000 จุดในการซื้อขายวานนี้ ท่ามกลางปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในตลาด ได้แก่ การดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และการที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ขู่ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลต่อเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอ รวมทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดคาดไว้ หลังสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่ง
นักลงทุนจับตารายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 25-26 ก.ค.ในคืนนี้
ทั้งนี้ FOMC มีมติเป็นเอกฉันท์ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมดังกล่าว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 22 ปี
การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 11 นับตั้งแต่ที่เฟดเริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดได้ยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว โดยเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนก.ย. และในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
อย่างไรก็ดี นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ในการแถลงข่าวหลังการประชุมเมื่อวันที่ 26 ก.ค. โดยกล่าวแต่เพียงว่า เฟดไม่มีการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินไว้ล่วงหน้า โดยจะทำการตัดสินใจในการประชุมเป็นรายครั้ง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนั้น
"มีความเป็นไปได้ที่เราอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. หากข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงเวลาดังกล่าวสนับสนุนให้เราดำเนินการเช่นนั้น แต่ก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกันที่เราอาจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. หากการดำเนินการดังกล่าวสอดคล้องกับจุดยืนด้านนโยบายของเรา" นายพาวเวลกล่าว