ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันศุกร์ (18 ส.ค.) สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ โดยหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มเฮลท์แคร์ถ่วงตลาดลง ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงทั่วโลก ประกอบกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีนส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 448.44 จุด ลดลง 2.75 จุด หรือ -0.61%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,164.11 จุด ลดลง 27.63 จุด หรือ -0.38%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,574.26 จุด ลดลง 102.64 จุด หรือ -0.65% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,262.43 จุด ลดลง 47.78 จุด หรือ -0.65%
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน และแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค.
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งขึ้นได้กดดันราคาหุ้นในสัปดาห์นี้ โดยดัชนี STOXX 600 ร่วงลงมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ซบเซาของจีนซึ่งได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ปยื่นขอล้มละลายในสหรัฐ ขณะที่มาตรการของหน่วยงานควบคุมกฎระเบียบหลักทรัพย์ของจีนที่จะพลิกฟื้นตลาดหุ้นนั้นไม่สามารถช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุน
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราที่พึ่งพารายได้จากจีน อาทิ แอลวีเอ็มเอช, เคอริง และแอร์เมส ปรับตัวลง 0.7-1.1% จากความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงจากจีนซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลก
หุ้นเอชเอสบีซีและหุ้นพรูเดนเชียลซึ่งทำธุรกิจในจีน ร่วงลง 1.4% และ 3.2% ตามลำดับ และบาร์เคลย์สได้ปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นพรูเดนเชียลลงด้วย
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ถ่วงตลาดลงด้วย โดยหุ้นโนโว นอร์ดิสค์, หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า และหุ้นโรช โฮลดิ้งส์ ร่วงลงกว่า 1%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลง 1.5% โดยได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของจีน
หุ้นกลุ่มค้าปลีกลดลง 1.2% โดยหุ้น H&M ร่วง 1.7% หลังรอยเตอร์รายงานว่า บริษัทได้ตัดสินใจที่จะยุติการจัดหาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จากประเทศเมียนมา