ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ขณะที่นักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจ
ณ เวลา 19.26 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 116 จุด หรือ 0.34% สู่ระดับ 34,493 จุด
ทั้งนี้ ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันศุกร์ที่ผ่านมา นายพาวเวลกล่าวว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่สูงเกินไป และเฟดเตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลกล่าวเสริมว่า เฟดจำเป็นต้องดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง โดยการประเมินข้อมูลที่เฟดได้รับ รวมทั้งแนวโน้มและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
"การดำเนินการน้อยเกินไปจะทำให้เงินเฟ้อที่อยู่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดฝังตัวลึก และจะยิ่งทำให้เฟดต้องใช้นโยบายการเงินเพื่อขจัดเงินเฟ้อออกจากเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน"
"ส่วนการดำเนินการที่มากเกินไปจะทำให้เศรษฐกิจเกิดผลกระทบโดยไม่จำเป็น" นายพาวเวลกล่าว
ถ้อยแถลงของนายพาวเวลแตกต่างจากการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีที่แล้ว ซึ่งเขากล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า ภารกิจของเฟดในการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่เสร็จสิ้น โดยเฟดจะยังคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน ทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลงอย่างหนักหลังการกล่าวถ้อยแถลงดังกล่าว
"เราจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนกว่าจะมั่นใจว่าภารกิจของเราจะประสบความสำเร็จ โดยภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบจากการที่เฟดยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ความล้มเหลวในการรักษาเสถียรภาพของราคาจะทำให้เกิดผลกระทบมากกว่า" นายพาวเวลกล่าวในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีที่แล้ว
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. และเทน้ำหนักมากกว่า 50% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ย. และคงอัตราดอกเบี้ย ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมี.ค.2567
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 5.9% ในไตรมาส 3/2566 หลังจากมีการขยายตัว 2.0% และ 2.4% ในไตรมาส 1 และ 2 ตามลำดับ
หากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐมีการขยายตัว 5.9% ในไตรมาส 3 ตามที่คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการขยายตัวมากกว่า 2 เท่าจากไตรมาส 2 และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2564
ตลาดจับตาตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 2/2566 (ประมาณการครั้งที่ 2) ที่จะมีการเปิดเผยในวันพุธ และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันพฤหัสบดี รวมทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์