ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (5 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอของจีนและยูโรโซน ซึ่งทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แม้การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานได้ช่วยหนุนตลาดก็ตาม
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 456.90 จุด ลดลง 1.06 จุด หรือ -0.23%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,254.72 จุด ลดลง 24.79 จุด หรือ -0.34%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,771.71 จุด ลดลง 53.14 จุด หรือ -0.34% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,437.93 จุด ลดลง 14.83 จุด หรือ -0.20%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน โดยหุ้นที่เกี่ยวกับจีน อาทิ กลุ่มสินค้าหรูหรา รวมถึงกลุ่มก่อสร้างและวัสดุปรับตัวลง 1.2% และ 1.0% ตามลำดับ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจบ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคบริการของจีนขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบ 8 เดือนในเดือนส.ค.
ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลภาคบริการของยุโรปหดตัวลง ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย
นักลงทุนปรับตัวรับโอกาสราว 26% ที่ธนาคารกลางยุโรปจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวันที่ 14 ก.ย.นี้ ลดลงจากราว 30% ก่อนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ของยูโรโซน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคในยูโรโซนคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีข้างหน้า
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยูโรโซนปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลง 0.3% ขณะที่กลุ่มสินค้าส่วนบุคคลและสินค้าในครัวเรือน ลดลง 0.9%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 0.4% ด้วย หลังเจ.พี. มอร์แกนปรับลดคำแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกอาหาร โดยระบุถึงแนวโน้มภาวะเงินฝืดจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
แต่หุ้นกลุ่มพลังงานของยุโรปพุ่งขึ้น 1.2% สวนทางตลาด โดยปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 1% หลังซาอุดีอาระเบียและรัสเซียประกาศขยายเวลาปรับลดปริมาณน้ำมันโดยสมัครใจ
หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้น 1.0% ด้วย หลังอังกฤษเปิดเผยข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 13 ติดต่อกันในเดือนส.ค.