ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 200 จุด ท่ามกลางความกังวลที่ว่าการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ณ เวลา 22.16 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,425.19 จุด ลบ 216.78 จุด หรือ 0.63%
นักลงทุนเทน้ำหนักเกือบ 50% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ย.เพื่อสกัดเงินเฟ้อจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 48.8% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. และให้น้ำหนักเพียง 46.8% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50%
นอกจากนี้ นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนัก 4.4% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% สู่ระดับ 5.75-6.00% ในการประชุมดังกล่าว
นายโมฮาเหม็ด เอล-เอเรียน นักเศรษฐศาสตร์จากอลิอันซ์ กล่าวว่า การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันจะหนุนให้อัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้น และเมื่อพิจารณาร่วมกับเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ สิ่งนี้จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟด
"เฟดจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ แต่จะเปิดกว้างสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต" นายเอล-เอเรียนกล่าวต่อสำนักข่าว CNBC
ราคาน้ำมัน WTI ปิดพุ่งขึ้นวานนี้แตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ขานรับข่าวซาอุดีอาระเบียและรัสเซียประกาศขยายเวลาการปรับลดอุปทานน้ำมันโดยสมัครใจจนถึงสิ้นปี 2566
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียประกาศขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่รัสเซียขยายเวลาปรับลดการส่งออกน้ำมันสู่ระดับ 300,000 บาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เช่นกัน
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 5.6% ในไตรมาส 3/2566 หลังจากมีการขยายตัว 2.0% และ 2.1% ในไตรมาส 1 และ 2 ตามลำดับ
ตลาดจับตาการเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากเฟดในคืนนี้ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ Beige Book เป็นรายงานซึ่งจะมีการเปิดเผยก่อนการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ โดยเป็นการประเมินภาวะเศรษฐกิจจากเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งประจำอยู่ใน 12 เขตของสหรัฐ
นอกจากนี้ Beige Book เป็นรายงานที่มีการรวบรวมข้อมูลจากมุมมองของผู้นำธุรกิจ รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนายธนาคารในภูมิภาค ทำให้ Beige Book สามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจสหรัฐในวงกว้าง