ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันจันทร์ (25 ก.ย.) โดยดาวโจนส์ฟื้นตัวหลังจากที่ร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการก่อนหน้านี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจและการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,006.88 จุด เพิ่มขึ้น 43.04 จุด หรือ +0.13%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,337.44 จุด เพิ่มขึ้น 17.38 จุด หรือ +0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,271.32 จุด เพิ่มขึ้น 59.51 จุด หรือ +0.45%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยในระหว่างวัน ตลาดถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี หลังจากเฟดส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลว่าหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอาจจะถูกปิดทำการ หรือชัตดาวน์ในวันที่ 1 ต.ค. หากสภาคองเกรสไม่มีความคืบหน้าในการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันที่ 30 ก.ย.
ทางด้านมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ออกรายงานเตือนล่าสุดเมื่อวานนี้ว่า หากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกชัตดาวน์ ก็จะส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.3% ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวขึ้น 0.8% ส่วนดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวลง 0.4%
หุ้นอะเมซอน ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้งของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.67% หลังจากมีรายงานว่า อะเมซอนเตรียมทุ่มเม็ดเงินลงทุนมากถึง 4 พันล้านดอลลาร์ในแอนโทรปิก (Anthropic) ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ตอัปด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างความร่วมมือที่สำคัญในการก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นหลักด้านปัญญาประดิษฐ์เชิงรู้สร้าง (Generative AI) และเพื่อแข่งขันกับบรรดาคู่แข่งในตลาด AI
หุ้นดาว อิงค์ (Dow Inc.) ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นดาว สู่ระดับ "เพิ่มน้ำหนักการลงทุน" (Overweight) จากระดับ "คงน้ำหนักการลงทุน" (Neutral)
นักลงทุนจับตาการแสดงความเห็นของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ นายออสตัน กูสบี ประธานเฟดสาขาชิคาโกให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าระดับ 2% ซึ่งเป็นเป้าหมายของเฟดนั้น ยังคงเป็นความเสี่ยงที่สร้างผลกระทบรุนแรงมากกว่าการที่เฟดใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐ โดยวันนี้จะมีการเปิดเผยราคาบ้านเดือนก.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จาก Conference Board และยอดขายบ้านใหม่เดือนส.ค. ส่วนในวันพุธจะมีการเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนส.ค.
สำหรับในวันพฤหัสบดี สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2566 (ขั้นสุดท้าย) และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (Pending Home Sales) เดือนส.ค. จากนั้นในวันศุกร์จะมีการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน