ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 200 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ในวันที่ 1 ต.ค.
ณ เวลา 00.14 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 33,459.28 จุด ลบ 207.06 จุด หรือ 0.62%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุดในช่วงแรก หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ต่ำสุดในรอบ 2 ปี ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงในเวลาต่อมา ขณะที่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 วันที่สภาคองเกรสจะต้องบรรลุข้อตกลงในการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามเป็นกฎหมาย
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก เตรียมลงคะแนนเสียงต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันนี้ โดยหวังว่าจะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ หรือชัตดาวน์ในวันที่ 1 ต.ค.
ร่างกฎหมายดังกล่าวจะช่วยให้หน่วยงานของรัฐบาลมีงบประมาณในการดำเนินการต่อไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค.
อย่างไรก็ดี เป็นที่คาดกันว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะไม่ผ่านการอนุมัติจากวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก รวมทั้งจะไม่ได้รับการลงนามจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน
ขณะเดียวกัน วุฒิสภามีกำหนดลงคะแนนเสียงต่อร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวของวุฒิสภาเองในวันพรุ่งนี้ (30 ก.ย.)
ทั้งนี้ สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์ในวันที่ 1 ต.ค. หากสภาคองเกรสยังคงไม่มีความคืบหน้าในการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว และส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันที่ 30 ก.ย.
มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ออกรายงานเตือนว่า หากสหรัฐเผชิญภาวะชัตดาวน์ ก็จะส่งผลกระทบต่อการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ และจะสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของสถาบันและระบบธรรมาภิบาลของสหรัฐ เมื่อเทียบกับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงสุด โดยขณะนี้มูดี้ส์ให้อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐที่ระดับ AAA
ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุเตือนเช่นกันว่า หากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐถูกปิดการดำเนินงานหรือชัตดาวน์ ก็จะสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐ