ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันอังคาร (3 ต.ค.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและเหมืองแร่ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงเป็นเวลานานนั้นได้หนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้นและดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 440.70 จุด ลดลง 4.89 จุด หรือ -1.10%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,997.05 จุด ลดลง 71.11 จุด หรือ -1.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,085.21 จุด ลดลง 162.00 จุด หรือ -1.06% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,470.16 จุด ลดลง 40.56 จุด หรือ -0.54%
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. โดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคร่วง 2.7% สู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 11 เดือน โดยถูกกดดันจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
หุ้นออร์สเต็ด บริษัทพัฒนาพลังงานลมนอกชายฝั่งร่วงลง 6.0% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่หุ้นเวสทาส วินด์ ซิสเทมส์ ร่วง 5.5%
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงนางมิเชล โบว์แมน ผู้ว่าการเฟดและนายไมเคิล บาร์ รองประธานฝ่ายกำกับดูแลเฟดระบุในวันจันทร์ว่า จำเป็นต้องคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อทำให้เงินเฟ้อลดลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 2.6% เนื่องจากราคาทองแดงลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมาและการผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์หน่วยงานราชการในสหรัฐนั้นได้หนุนดอลลาร์พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน และหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรขึ้นสู่ระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรอบ 16 ปี
หุ้นกลุ่มธนาคารที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจปรับตัวลง 0.9%
ดอยซ์แบงก์ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ลงสู่ 0.4% และระบุว่าไม่สามารถปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้