ตลาดหุ้นยุโรปปิดดีดตัวขึ้นอย่างมากในวันอังคาร (10 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และของธนาคารกลางยุโรป (ECB) แสดงความเห็นสนับสนุนการยุติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากตลาดร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์จากความวิตกเกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 452.48 จุด เพิ่มขึ้น 8.69 จุด หรือ +1.96%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,162.43 จุด พุ่งขึ้น 141.03 จุด หรือ +2.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,423.52 จุด เพิ่มขึ้น 295.41 จุด หรือ +1.95% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,628.21 จุด เพิ่มขึ้น 136.00 จุด หรือ +1.82%
ดัชนี STOXX 600 พุ่งขึ้นมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ในรอบเกือบ 1 ปี โดยฟื้นตัวขึ้นหลังจากร่วงลงในวันจันทร์จากความวิตกเกี่ยวกับการปะทะกันทางทหารระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นและนักลงทุนพากันเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ พันธบัตรและทองคำ
หุ้นทุกกลุ่มปรับตัวขึ้นในวันอังคาร ขณะที่กลุ่มเดินทางและนันทนาการ, กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มเทคโนโลยี นำตลาดปรับตัวขึ้น
เจ้าหน้าที่เฟดและ ECB ต่างแสดงความเห็นที่สนับสนุนการยุติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายฟรองซัวส์ วิลเลรอย เดอ กัลเฮา ผู้กำหนดนโยบายของ ECB กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ที่ราวระดับเป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2% ภายในสิ้นปี 2568 แม้เกิดความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็ตาม
ส่วนเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดระบุในวันจันทร์ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ปรับตัวขึ้น ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการเงินสำหรับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจนั้น อาจทำให้เฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นอีก
บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าจะชะลอลง และจะลดแรงกดดันของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
นอกจากนี้ นักลงทุนจะรอดูการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2566 ของบริษัทจดทะเบียน, ข้อมูลเศรษฐกิจ และการปรับตัวของราคาน้ำมันในการกำหนดทิศทางตลาดในช่วงก่อนสิ้นปี