ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันอังคาร (17 ต.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ และราคาหุ้นบริษัทผลิตชิปร่วงลงหลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศแผนระงับการส่งออกชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทันสมัยให้กับจีน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,997.65 จุด เพิ่มขึ้น 13.11 จุด หรือ + 0.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,373.20 จุด ลดลง 0.43 จุด หรือ -0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,533.75 จุด ลดลง 34.24 จุด หรือ -0.25%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยในช่วงแรกตลาดดีดตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงแบงก์ ออฟ อเมริกา และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก่อนที่ตลาดจะอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา โดยถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นทะลุระดับ 4.8%
คณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศแผนระงับการส่งออกชิป AI ที่ผลิตโดยบริษัทอินวิเดียและบริษัทอื่น ๆ ให้กับจีน เพื่อขัดขวางไม่ให้จีนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัยของสหรัฐ เพราะกังวลว่าจีนอาจจะนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในการพัฒนากองทัพ
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ตลาดฟิลาเดลเฟีย (PHLX Semiconductor Index) ลดลง 0.8% ขณะที่หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.4% ส่วนหุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 4.7% แม้อินวิเดียประเมินว่ามาตรการดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในระยะใกล้นี้
สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 0.7% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% โดยแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์และยอดขายของสถานีบริการน้ำมัน ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นกัน
แอนโทนี ซากลิมบีน นักวิเคราะห์จากบริษัท Ameriprise Financial กล่าวว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสถือเป็นข่าวดี แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตรึงดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น และอาจจะดับความหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาด นักลงทุนให้น้ำหนัก 37.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.50-5.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากที่ให้น้ำหนักเพียง 25% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียนช่วยลดช่วงลบในตลาด โดยบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 2.66 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.52 ดอลลาร์
ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 90 เซนต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 82 เซนต์ และโกลด์แมน แซคส์ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ 5.47 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.31 ดอลลาร์
นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดมีรายงานว่าชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตกว่า 500 รายหลังจากกองทัพอิสราเอลยิงถล่มโรงพยาบาลในฉนวนกาซา ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ จะเดินทางเยือนอิสราเอลในวันนี้ เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนอิสราเอลในการต่อสู้กับกลุ่มฮามาส
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งนิวยอร์ก (Economic Club of New York) ในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก่อนที่คณะกรรมการเฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.