ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันศุกร์ (20 ต.ค.) และปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบ 7 เดือน โดยถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น และการรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 433.73 จุด ลดลง 6.00 จุด หรือ -1.36% และร่วงลง 3.4% ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,816.22 จุด ลดลง 105.15 จุด หรือ -1.52%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,798.47 จุด ลดลง 246.76 จุด หรือ -1.64% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,402.14 จุด ลดลง 97.39 จุด หรือ -1.30%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในฉนวนกาซาอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมัน และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงไปอีกนาน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นในยุโรปและสหรัฐได้ส่งผลกดดันตลาดหุ้นยุโรป ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลาง รวมถึงนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า เฟดอาจจะคุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป
ความเห็นของนายพาวเวลได้หนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะ 5% ในวันพฤหัสบดี
การเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนกดดันตลาดด้วย และนักวิเคราะห์ระบุว่าแรงกดดันด้านผลกำไรอาจเกิดจากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
หุ้นฮัสควาร์นา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์การทำสวนของสวีเดน ร่วงลง 8% หลังรายงานรายได้ไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 3.4% หลังหุ้นโบลิเดนดิ่งลง 7.2% หลังเปิดเผยกำไรไตรมาส 3 ลดลงมากเกินคาด เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มเดินทางและนันทนาการ ร่วงลง 2.3% โดยหุ้นอินเตอร์เนชันแนล โฮเทลส์ กรุ๊ป ร่วง 4.5% หลังการขยายตัวสุทธิรายไตรมาสชะลอลง
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลง โดยหุ้นยูบีเอส ดิ่งลง 2.8% หลังเตรียมยกเครื่องบอร์ดบริหารธุรกิจในสวิตเซอร์แลนด์
หุ้นลอรีอัลของฝรั่งเศส ร่วงลง 1.5% หลังจากธุรกิจค้าปลีกด้านการเดินทางในเอเชียได้รับผลกระทบมากเกินคาด
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกของอังกฤษที่ลดลงเกินคาดในเดือนก.ย.
บรรดานักลงทุนจะยังคงจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์หน้า และธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะจัดประชุมนโยบายการเงินในวันพฤหัสบดี (26 ต.ค.)