ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (3 พ.ย.) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรงหลังการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่า การจ้างงานในสหรัฐชะลอการขยายตัว และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งสนับสนุนความหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,061.32 จุด เพิ่มขึ้น 222.24 จุด หรือ +0.66%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,358.34 จุด เพิ่มขึ้น 40.56 จุด หรือ +0.94% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,478.28 จุด เพิ่มขึ้น 184.09 จุด หรือ +1.38%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์บวก 5.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. 2565, ดัชนี S&P500 บวก 5.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 6.6% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 150,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 188,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.9% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจทรงตัวที่ระดับ 3.8%
ข้อมูลการจ้างงานที่ต่ำกว่าคาดฉุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 5 สัปดาห์ และได้ช่วยหนุนตลาดหุ้น
ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 6 ติดต่อกัน
หุ้นส่วนใหญ่ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 2.4% โดยแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนก.ย.
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ปรับตัวลง โดยปิดลบมากกว่า 1% เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลง
หุ้นแอปเปิ้ลปรับตัวลง 0.5% หลังคาดการณ์ยอดขายในไตรมาส 1/2567 ต่ำกว่าคาด
ดัชนีความผันผวน (CBOE volatility index) ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 6 สัปดาห์ ซึ่งบ่งชี้ว่า ความวิตกของนักลงทุนลดน้อยลง