ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันอังคาร (14 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ทำสถิติทะยานขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.ปีนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,827.70 จุด เพิ่มขึ้น 489.83 จุด หรือ +1.43%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,495.70 จุด เพิ่มขึ้น 84.15 จุด หรือ +1.91% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,094.38 จุด เพิ่มขึ้น 326.64 จุด หรือ +2.37%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.3% จากระดับ 3.7% ในเดือนก.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 4.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.1% จากระดับ 4.1% ในเดือนก.ย.
เคร็ก เฟอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Edward Jones กล่าวว่า ตัวเลข CPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาดในเดือนต.ค.ทำให้ตลาดเชื่อมั่นว่าเฟดไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเพิ่มเติมเพื่อฉุดเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลง
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ประจำเดือนต.ค. นักลงทุนให้น้ำหนัก 100% ในการคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. 2566 และเดือนม.ค. 2567
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 65% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 34% ในการสำรวจเมื่อวันจันทร์ และเร็วกว่าเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2567
ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นวงกว้าง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย พุ่งขึ้น 5.3% และ 3.9% ตามลำดับ ขณะที่ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนน้อย ทะยานขึ้น 5.4% โดยทั้ง 3 ดัชนีพุ่งขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2565
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ขานรับความหวังที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอย โดยทีมนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ซึ่งนำโดยเดวิด เมอริเคิล คาดการณ์ว่ามีโอกาสเพียง 15% เท่านั้นที่เศรษฐกิจสหรัฐจะประสบภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่ามีโอกาส 48%
ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 5.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 3.2% หุ้นเจพีมอร์แกน ปรับตัวขึ้น 1.8% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 3.2%
หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ พุ่งขึ้น 5.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3/2566 ที่ระดับ 3.81 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.76 ดอลลาร์ และรายได้อยู่ที่ 3.771 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.760 หมื่นล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณของสหรัฐ โดยสภาคองเกรสจะต้องผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อส่งให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามภายในช่วงเที่ยงคืนของวันศุกร์ที่ 17 พ.ย.นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หน่วยงานของรัฐบาลถูกปิดการดำเนินงาน หรือชัตดาวน์