ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันพุธ (15 พ.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากบริษัททาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,991.21 จุด เพิ่มขึ้น 163.51 จุด หรือ +0.47%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,502.88 จุด เพิ่มขึ้น 7.18 จุด หรือ +0.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,103.84 จุด เพิ่มขึ้น 9.46 จุด หรือ +0.07%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ปรับตัวขึ้น 1.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.9% จากระดับ 2.2% ในเดือนก.ย. และหากเทียบเป็นรายเดือน ดัชนี PPI ลดลง 0.5% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2563 และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1%
ข้อมูลดังกล่าวเป็นไปในทิศทางกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค.ของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น 3.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.3% จากระดับ 3.7% ในเดือนก.ย.
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 0.1% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนก.ย.
เจย์ แฮทฟิลด์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Capital Advisors กล่าวว่า ดัชนี CPI และ PPI ที่ต่ำกว่าคาด รวมทั้งยอดค้าปลีกที่ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เป็นปัจจัยสนับสนุนการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการยืนยันว่าเฟดใกล้จะบรรลุเป้าหมายการทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือซอฟต์แลนดิ้ง
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนยังคงให้น้ำหนัก 100% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. และคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค. 2567 ซึ่งเร็วกว่าเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2567
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย พุ่งขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ต่ำกว่าคาด และปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเมื่อคืนนี้ หลังจากดัชนี PPI ออกมาต่ำกว่าคาดเช่นกัน โดยเฉพาะหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม "Magnificent 7" ซึ่งประกอบด้วยไมโครซอฟท์, แอปเปิ้ล, อัลฟาเบท, อะเมซอน, เทสลา, เมตา แพลตฟอร์มส์ และอินวิเดีย
หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น หลังจากบริษัททาร์เก็ตเปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงเกินคาดในไตรมาส 3/2566 โดยหุ้นทาร์เก็ต ทะยานขึ้น 17.7% หุ้นเมซีส์ พุ่งขึ้น 7.5% หุ้นนอร์ดสตรอม เพิ่มขึ้น 5.7% หุ้นวอลมาร์ท เพิ่มขึ้น 1.3%
ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าการยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยพลิกฟื้นธุรกิจขนาดเล็ก
ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง หลังจากราคาน้ำมัน WTI ร่วงลง 2% เมื่อคืนนี้ ภายหลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นมากกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแรงลง
ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวและส่งให้วุฒิสภาพิจารณา ก่อนที่จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ลงนามเป็นกฎหมายภายในวันศุกร์ที่ 17 พ.ย.เพื่อหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล หรือชัตดาวน์
นักลงทุนจับตาการพบปะเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ โดยนักลงทุนคาดหวังว่าการเจรจาของผู้นำทั้งสองฝ่ายจะช่วยคลี่คลายความขัดแย้งทั้งในด้านการทหารและการค้า