ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (17 พ.ย.) และปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวลงแบบค่อยเป็นค่อยไปหรือซอฟต์แลนดิ้ง (soft landing) และมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,947.28 จุด เพิ่มขึ้น 1.81 จุด หรือ +0.01%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,514.02 จุด เพิ่มขึ้น 5.78 จุด หรือ +0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,125.48 จุด เพิ่มขึ้น 11.81 จุด หรือ +0.08%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์บวก 1.9%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 2.2% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 2.4%
ตลาดได้แรงหนุนจากการที่นายไมเคิล บาร์ รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของเฟดกล่าวว่า เขาเชื่อว่า เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับสูงสุดหรือใกล้ระดับสูงสุดแล้ว ขณะที่นางแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกและนางซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดสาขาบอสตันได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานบ่งชี้เกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนธ.ค. 2566, ม.ค. 2567 และมี.ค. 2567 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. 2567
นอกจากนี้ นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐหรือชัตดาวน์ หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวแล้ว ส่งผลให้สหรัฐสามารถหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานของรัฐบาล
ส่วนอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดได้แก่การปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งแตะระดับต่ำสุดในรอบราว 2 เดือน
ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน โดยดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปรับตัวขึ้นติดต่อกันรายสัปดาห์ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ติดต่อกันยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ดัชนีหุ้นทั้ง 3 ตัวปิดบวกเล็กน้อย แต่หุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจปรับตัวแข็งแกร่ง อาทิ กลุ่มพลังงาน, กลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มการเงิน
หุ้นกลุ่มพลังงานปิดพุ่งขึ้น 2.1% และปรับตัวขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดในบรรดาหุ้น 11 ตัวของดัชนี S&P500 หลังจากราคาน้ำมันปิดพุ่งขึ้นมากกว่า 4%
ส่วนหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารร่วงลงเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุด เนื่องจากหุ้นอัลฟาเบท ร่วงลงมากกว่า 1% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงมากที่สุดเป็นอันดับ 2 โดยถูกกดดันจากหุ้นไมโครซอฟท์ซึ่งร่วงลง 1.7% หลังจากบริษัทโอเพนเอไอซึ่งผลิตแชตจีพีทีโดยได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์นั้นเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ซีอีโอของโอเพนเอไอจะลาออกจากตำแหน่งหลังบอร์ดของบริษัทระบุว่า เขาไม่มีความตรงไปตรงมาในด้านการติดต่อสื่อสาร
แต่หุ้นอะเมซอนดอตคอมปรับตัวขึ้น 1.6% หลังประกาศเกี่ยวกับการปรับลดตำแหน่งงานในบางหน่วยธุรกิจ โดยบริษัทได้ปรับเปลี่ยนการให้ความสำคัญกับธุรกิจ และจะให้ความสำคัญมากขึ้นเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (generative artificial intelligence)
หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวขึ้น โดยหุ้นรอสส์ สโตร์ส ซึ่งขายเสื้อผ้าและของใช้ในบ้าน พุ่งขึ้น 7.2% เนื่องจากบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี หลังจากรายงานยอดขายและผลกำไรไตรมาส 3 สูงเกินคาด ขณะที่หุ้นแก๊ป ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องแต่งกาย พุ่ง 30.6% หลังเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของหุ้นรายตัวส่งผลถ่วงตลาด โดยหุ้นแอพพลายด์ แมตทีเรียล ร่วงลง 4% หลังเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 และมีข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐกำลังสอบสวนแอพพลายด์ แมตทีเรียลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่า ผู้ผลิตอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์รายนี้ละเมิดมาตรการควบคุมการส่งออกไปยังจีน