ดัชนีดาวโจนส์แทบไม่ขยับ ขณะที่คาดว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะเป็นไปอย่างซบเซาในสัปดาห์นี้
ณ เวลา 21.33 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,950.10 จุด บวก 2.82 จุด หรือ 0.01%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย. ในวันพรุ่งนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
คาดว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะมีการซื้อขายที่ซบเซาในสัปดาห์นี้ โดยตลาดจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า และเปิดการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้น 1.9% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ดีดตัวขึ้น 2.2% โดยดัชนีทั้งสองสามารถทำสถิติปรับตัวขึ้น 3 สัปดาห์ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.ค. ส่วนดัชนี Nasdaq ทะยานขึ้น 2.4% ทำสถิติพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.
ข้อมูลจาก Stock Trader?s Almanac ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวดีที่สุดของปี
ทั้งนี้ เดือนพ.ย.นับเป็นจุดเริ่มต้นของการทำสถิติให้ผลตอบแทนดีที่สุดสำหรับการลงทุนช่วง 6 เดือนของดัชนี S&P 500 โดยดัชนีให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7% ในเดือนพ.ย.-เม.ย. นับตั้งแต่ปี 2493
สถิติล่าสุดบ่งชี้ว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนพ.ย.2565 ขณะที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.1% ในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมักปรับตัวขึ้นในเดือนพ.ย. ก่อนที่จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องในเดือนธ.ค.จากปรากฎการณ์ "ซานต้า แรลลี่"
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นยังได้รับปัจจัยบวกเพิ่มเติมในเดือนพ.ย.ปีนี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้งนับตั้งแต่ที่เริ่มวัฏจักรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.2565 ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 5.25%
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.2566, ม.ค.2567 และมี.ค.2567 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนพ.ค.2567