ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ (13 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 37,000 จุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2565 ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 1% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมปิดที่ 37,090.24 จุด เพิ่มขึ้น 512.30 จุด หรือ +1.40%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,707.09 จุด เพิ่มขึ้น 63.39 จุด หรือ +1.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,733.96 จุด เพิ่มขึ้น 200.57 จุด หรือ +1.38%
ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปี 2567 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 0.75% จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในการประชุมเดือนก.ย. พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 4 ครั้งในปี 2568 โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 1.00%
ส่วนในปี 2569 เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.75% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเฟดลดลงสู่ช่วง 2.00-2.25% ซึ่งใกล้กับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.50%
ขณะเดียวกัน เฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐลงสู่ระดับ 3.2% ในปี 2566 จากเดิมที่ระดับ 3.7% และคาดว่าอยู่ที่ 2.4%, 2.2% และ 2.0% ในปี 2567, 2568 และ 2569 ตามลำดับ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า "เฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก และเฟดมีความมุ่งมั่นที่จะไม่สร้างความผิดพลาดด้วยการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงเป็นเวลานานเกินไป"
นักวิเคราะห์จากบริษัท Bolvin Wealth Management Group กล่าวว่า "นักลงทุนขานรับเฟดที่ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ผลการประชุมเฟดครั้งนี้เหมือนเป็นการมอบของขวัญวันหยุดล่วงหน้าให้กับตลาด และนับเป็นครั้งแรกที่เฟดมีมุมมองบวกว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะชะลอตัวลง ซึ่งทำให้เราคาดว่าภาวะ "Santa Claus Rally" จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง"
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งต่างก็พุ่งขึ้นกว่า 3% ขณะที่ดัชนี Russell 2000 Index ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นกลุ่มบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนต่ำ พุ่งขึ้น 3.5%
อย่างไรก็ดี หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 6.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรและรายได้ในปี 2567 ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากการชะลอตัวลงของอุปสงค์ยาและวัคซีนที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.9% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.0% จากระดับ 1.2% ในเดือนต.ค.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.0% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.2% จากระดับ 2.3% ในเดือนต.ค.