ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบในวันพุธ (13 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายหุ้นเพื่อรอการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มนโยบายการเงิน ซึ่งประกาศหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปแล้ว
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 472.46 จุด ลดลง 0.26 จุด หรือ -0.06%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,548.44 จุด เพิ่มขึ้น 5.67 จุด หรือ +0.08%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,531.22 จุด ลดลง 12.33 จุด หรือ -0.16% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 16,766.05 จุด ลดลง 25.69 จุด หรือ -0.15%
บรรดานักลงทุนปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะลงมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐที่เปิดเผยเมื่อวันอังคารแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
จุดสนใจของตลาดจะอยู่ที่ความเห็นของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด และการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของเฟดเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับกำหนดเวลาในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน
นอกจากนี้ นักลงทุนจะจับตาการประชุมกำหนดนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งคาดว่าทั้ง ECB และ BOE จะตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิม
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ ปรับตัวขึ้น 0.9% โดยหุ้นโนโว นอร์ดิสค์ บวก 1.6% และหุ้นกลุ่มเคมีภัณฑ์ บวก 1.1% หลังหุ้นบีเอเอสเอฟ พุ่งขึ้น 4.4% เนื่องจากยูบีเอสปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนในหุ้นดังกล่าว
ส่วนหุ้นเอ็นเทน ซึ่งเป็นบริษัทด้านการพนันและเกมพุ่ง 5.1% หลังเปิดเผยว่า เจ็ตต์ นีการ์ด-แอนเดอร์เซน ซีอีโอของบริษัทจะลาออกจากตำแหน่งโดยมีผลในทันที
ส่วนหุ้นกลุ่มเทเลคอมร่วงลง 1.3% นำโดยหุ้นโวดาโฟนร่วง 2.9%
หลังปิดตลาดยุโรป คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 22 ปี