ณ เวลา 20.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 37,710.10 จุด บวก 53.58 จุด หรือ +0.14%
ดัชนี S&P 500 เปิดบวกเล็กน้อย และเข้าใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2565 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ดัชนีทั้ง 3 ตัวยังคงมีแนวโน้มที่จะปิดบวกในเดือนธ.ค., ในไตรมาส 4 และในปี 2566
ตลาดหุ้นสหรัฐมีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวขึ้น 9 สัปดาห์ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการที่เฟดส่งสัญญาณยุติวงจรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ดัชนีทั้ง 3 ตัวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในระดับเลขสองหลักในปี 2566 โดย Nasdaq จ่อพุ่งขึ้นรายปีมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546 โดยดีดตัวขึ้นจากภาวะซบเซาในปีที่แล้ว
สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ด้วยการส่งสัญญาณของเฟดว่าจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยแล้วและอาจลดดอกเบี้ยหลายครั้งในปีหน้า ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ลดลงจากระดับมากกว่า 5% ในปลายเดือนต.ค. มาอยู่ที่ต่ำกว่า 3.9% เมื่อวานนี้ นักลงทุนยังมั่นใจมากขึ้นด้วยว่าสหรัฐจะสามารถทำ "soft landing" ได้สำเร็จ ซึ่งแปลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยได้
FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาส 70.1% ที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในเดือนมี.ค. 2567
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 นั้น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศจ่อเป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในปี 2566 โดยเพิ่มขึ้น 56.8% โดยได้ประโยชน์จากกระแสความคลั่งไคล้ใน AI และการพุ่งขึ้นของหุ้นระดับเมกะแคป ในขณะที่หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยลดลง 10.1%
Nvidia และ Meta Platforms เป็นหุ้นใน S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดประจำปีนี้ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3 เท่า
นักลงทุนทำการซื้อขายเบาบางในช่วงเทศกาลวันหยุด โดยตลาดจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 1 ม.ค. เนื่องในวันขึ้นปีใหม่