ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าลบในวันนี้ (4 ม.ค.) นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่เพิ่งกลับมาเปิดการซื้อขายอีกครั้งในวันนี้หลังหยุดยาวปีใหม่ ซึ่งประเดิมด้วยเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และเหตุเครื่องบินเฉี่ยวชนระหว่างเครื่องบินของสายการบินเจแปน แอร์ไลน์ (JAL) กับเครื่องบินของหน่วยยามชายฝั่งญี่ปุ่นที่สนามบินฮาเนดะของกรุงโตเกียว ขณะที่นักลงทุนเริ่มไม่แน่ใจเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐ หลังการเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า อัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงต่อไปอีกระยะ
ดัชนีฮั่งเส็งปิดภาคเช้าที่ระดับ 16,564.79 จุด ลดลง 81.62 จุด หรือ -0.49%, ดัชนีนิกเกอิปิดภาคเช้าที่ระดับ 33,048.58 จุด ร่วงลง 415.59 จุด หรือ -1.24% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดภาคเช้าที่ระดับ 2,941.40 จุด ลดลง 25.85 จุด หรือ -0.87%
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพุธ (3 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปีที่แล้ว นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายยังถูกกดดันจากการที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ช่วยให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,430.19 จุด ลดลง 284.85 จุด หรือ -0.76%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,704.81 จุด ลดลง 38.02 จุด หรือ -0.80% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,592.21 จุด ลดลง 173.73 จุด หรือ -1.18%
คณะกรรมการเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 12-13 ธ.ค. 2566 โดยระบุว่า กรรมการเฟดมีความมั่นใจมากขึ้นว่าเงินเฟ้อของสหรัฐอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้และความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกนั้นเริ่มมีน้อยลง ขณะเดียวกันกรรมการเฟดมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นจากการที่เฟดดำเนินนโยบายคุมเข้มด้านการเงินมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม รายงานประชุมฉบับดังกล่าวเน้นย้ำว่า "ยังคงมีความไม่แน่นอนในระดับสูงผิดปกติ" เกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดนโยบายการเงิน โดยสมาชิกเฟดหลายรายระบุว่า อาจมีความจำเป็นที่จะต้องคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับสูงต่อไป หากเงินเฟ้อไม่ลดลงตามเป้าหมาย และเจ้าหน้าที่เฟดอีกหลายรายเน้นย้ำถึงความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง