ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลงกว่า 100 จุด หลังการเปิดเผยผลประกอบการของธนาคารขนาดใหญ่ที่สร้างความผิดหวังต่อตลาด
ณ เวลา 20.03 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 178 จุด หรือ 0.47% สู่ระดับ 37,749 จุด
เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4/2566
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกน เชส ระบุว่า ธนาคารมีกำไร 3.04 ดอลลาร์/หุ้น ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.32 ดอลลาร์/หุ้น โดยมีสาเหตุจากการที่ธนาคารต้องทำการกันสำรองวงเงินเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์สำหรับการตั้งกองทุนซื้อกิจการธนาคารในภูมิภาคหลายแห่งเพื่อป้องกันการทรุดตัวของภาคธนาคารในปีที่แล้ว
ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกา ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรสุทธิ 3.1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2566 ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับระดับ 7.1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2565
แบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า กำไรสุทธิจากดอกเบี้ย (NII) ลดลง 5% สู่ระดับ 1.39 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากทางธนาคารต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระดับสูงเพื่อรักษาฐานเงินฝากในธนาคาร แต่รายได้จากเงินกู้ลดลง ท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอ
นอกจากนี้ ธนาคารต้องกันสำรอง 3.7 พันล้านดอลลาร์สำหรับการตั้งกองทุนเพื่อพยุงภาคธนาคาร ท่ามกลางการล้มละลายของธนาคารหลายแห่งในปีที่แล้ว
นักลงทุนจับตาดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ประจำเดือนธ.ค.ในวันนี้
ทั้งนี้ ผลการสำรวจนักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 1.3% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 0.9% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PPI ทั่วไปปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนธ.ค. จากระดับ 0.0% (หรือไม่เปลี่ยนแปลง) ในเดือนพ.ย.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน คาดว่าปรับตัวขึ้น 1.9% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.0% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายเดือน คาดว่าดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. จากระดับ 0.0% (หรือไม่เปลี่ยนแปลง) ในเดือนพ.ย.