ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (12 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปิดบวกเล็กน้อยหลังการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวน โดยการเปิดเผยผลประกอบการที่เป็นไปอย่างไร้ทิศทางของธนาคารต่าง ๆ นั้นได้บดบังปัจจัยบวกจากการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดซึ่งสนับสนุนความคาดหวังที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,592.98 จุด ลดลง 118.04 จุด หรือ -0.31%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,783.83 จุด เพิ่มขึ้น 3.59 จุด หรือ +0.08% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,972.76 จุด เพิ่มขึ้น 2.58 จุด หรือ +0.02%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.34%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.84% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 3.09% โดยดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือนธ.ค. และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนี PPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตประจำเดือนธ.ค.ในวันศุกร์ โดยดัชนี PPI ทั่วไป (Headline PPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 1.0% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.3% จากระดับ 0.8% ในเดือนพ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไปลดลง 0.1% ในเดือนธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า อาจเพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนพ.ย.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 1.8% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.9% จากระดับ 2.0% ในเดือนพ.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.2% จากระดับ 0.0% ในเดือนพ.ย.
ข้อมูลดังกล่าวทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวลง และล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 73.2% เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ม.ค.)
ดัชนี S&P หุ้นกลุ่มธนาคารปิดลบ 1.26% หลังร่วงลงมากถึง 1.7%
หุ้นแบงก์ออฟอเมริการ่วงลง 1.06% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 4/2566 หดตัวลง ขณะที่หุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก้ ร่วง 3.34% หลังเตือนว่า รายได้จากอัตราดอกเบี้ยสุทธิจะลดลง 7-9% ในปีนี้
แต่หุ้นซิตี้กรุ๊ปปรับตัวขึ้น 1.04% หลังรายงานยอดขาดทุน 1.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 และคาดว่าจะปรับลดตำแหน่งงานลงอีก
เจพีมอร์แกน เชส ปรับตัวลง 0.73% แม้รายงานผลกำไรต่อปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์และคาดว่ารายได้จากดอกเบี้ยจะสูงกว่าคาดในปีนี้
หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ร่วงลง 3.37% หลังบริษัทรายงานต้นทุนทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเกินคาด ซึ่งถ่วงดัชนีดาวโจนส์ลงอย่างมาก
หุ้นเดลตา แอร์ไลน์ ร่วง 8.97% หลังปรับลดแนวโน้มผลกำไรประจำปี
หุ้นเทสลาร่วง 3.67% หลังปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่บางรุ่นในจีน และวางแผนที่จะระงับการผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ที่โรงงานใกล้กรุงเบอร์ลิน