ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ขานรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนม.ค.
ณ เวลา 23.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 37,599.85 จุด บวก 131.25 จุด หรือ 0.35% ขณะที่ดัชนี S&P 500 บวก 0.41% สู่ระดับ 4,800.78 จุด โดยอยู่เหนือระดับ 4,796.56 ซึ่งเป็นระดับปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนม.ค.2566 และอยู่ใกล้ระดับ 4,818.62 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับการซื้อขายระหว่างวัน
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 78.8 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2564 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 70.2 จากระดับ 69.7 ในเดือนธ.ค.
ผู้บริโภคเพิ่มความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ขณะที่คลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 2.9% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ลดลงจากระดับ 3.1% ในการสำรวจเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 2.8% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ลดลงจากระดับ 2.9% ในการสำรวจเดือนที่แล้ว
นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนางแมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโก ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด ก่อนที่เฟดจะเริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ในวันพรุ่งนี้
ทั้งนี้ เฟดจะเริ่มเข้าสู่ช่วง Blackout Period ในวันที่ 20 ม.ค. ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 30-31 ม.ค.
กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง
ด้านนายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา กล่าววานนี้ว่า เขาคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 3 ของปีนี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกำลังกลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
อย่างไรก็ดี FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค. แม้ว่าขณะนี้นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักใกล้เคียงกันต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับลดหรือคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าว
ล่าสุด นักลงทุนให้น้ำหนัก 53.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 70.2% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 44.8% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 26.8% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นายบอสติกกล่าวว่า "เนื่องจากผมเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อข้อมูลที่ได้รับ ผมจึงได้รวมความคืบหน้าที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้ในการวิเคราะห์แนวโน้มของผม ผมจึงได้ปรับคาดการณ์กำหนดเวลาที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสู่ระดับปกติในไตรมาส 3 จากเดิมที่ผมคาดไว้ในไตรมาส 4"
อย่างไรก็ดี นายบอสติกเปิดช่องสำหรับคาดการณ์กำหนดเวลาที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าไตรมาส 3
"ถ้าเรายังคงเห็นว่าข้อมูลเงินเฟ้อสามารถสร้างความประหลาดใจโดยปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ก็มีความเป็นไปได้ที่ผมอาจจะสนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสู่ระดับปกติก่อนไตรมาส 3 แต่ข้อมูลดังกล่าวจะต้องสร้างความมั่นใจอย่างแท้จริง" นายบอสติกกล่าว และเสริมว่า เป้าหมายของเฟดคือการกำหนดนโยบายที่ไม่เข้มงวดเกินไปจนส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องเข้มงวดเพียงพอที่จะป้องกันไม่ให้ราคาดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง