ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ทะลุแนว 38,000 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลต่อเนื่องจากวันศุกร์
ณ เวลา 21.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 38,032.03 จุด บวก 168.23 จุด หรือ 0.44% ขณะที่ดัชนี S&P 500 บวก 0.42% สู่ระดับ 4,860.22 จุด ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่
ดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นเกือบ 400 จุดเมื่อวันศุกร์ ขณะที่ดัชนี S&P 500 พุ่งกว่า 1% ปิดตลาดที่ระดับ 4,839.81 จุด ทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2565 โดยตลาดได้แรงหนุนจากการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐที่สูงเกินคาด ขณะที่ผู้บริโภคเพิ่มความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต หลังคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ
นักลงทุนหันมาจับตาตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2566 ในวันพฤหัสบดี และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์ เนื่องจากจะไม่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในขณะนี้ โดยเฟดเริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 30-31 ม.ค.
กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง
นักลงทุนเทน้ำหนักต่อคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนพ.ค. จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค.
การเปลี่ยนแปลงคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเกินคาด และเจ้าหน้าที่เฟดได้ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนการตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงจนกว่าจะมั่นใจว่าเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2%
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.5% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 30-31 ม.ค. และให้น้ำหนัก 55.7% ที่เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในการประชุมวันที่ 19-20 มี.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 52.4% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 31 เม.ย.-1 พ.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 17.0% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว