ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (23 ม.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึง 3M อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ยังคงปิดในแดนบวก และดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮติดต่อกันวันที่ 3 ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 37,905.45 จุด ลดลง 96.36 จุด หรือ -0.25%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,864.60 จุด เพิ่มขึ้น 14.17 จุด หรือ +0.29% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,425.94 จุด เพิ่มขึ้น 65.66 จุด หรือ +0.43%
หุ้น 3M ดิ่งลง 11% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรในไตรมาส 1/2567 และกำไรตลอดปีงบการเงิน 2567 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) ร่วงลง 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรในปีงบการเงิน 2567 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ แม้ว่ากำไรและรายได้ในไตรมาส 4/2566 ของบริษัทจะออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ก็ตาม
หุ้นดี.อาร์. ฮอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลงกว่า 9% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4/2566 ที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นล็อกฮีด มาร์ติน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตอาวุธรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลงกว่า 4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์กำไรในปีงบการเงิน 2567 ที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ที่ได้รับการสำรวจโดยแอลเอสอีจี (LSEG) คาดการณ์ว่า รายได้ของบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนี S&P500 จะเพิ่มขึ้นเพียง 4.6% ในไตรมาส 4/2566 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 ที่มีการขยายตัว 7.5%
อาร์ท โฮแกน นักวิเคราะห์จากบริษัท B. Riley Wealth กล่าวว่า นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยี 7 แห่งที่มีมาร์เก็ตแคปสูง หรือ "Magnificent Seven" ซึ่งได้แก่ไมโครซอฟท์, แอปเปิ้ล, อัลฟาเบท, อะเมซอน, เทสลา, เมตา แพลตฟอร์มส์ และอินวิเดีย เนื่องจากที่ผ่านมา ผลประกอบการของบริษัทกลุ่มนี้เป็นแรงขับเคลื่อนตลาด โดยบริษัททั้ง 7 แห่งจะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า
หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ปิดตลาดปรับตัวขึ้น 1.3% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังตลาดปิดทำการซื้อขาย ขณะที่หุ้นเทสลา ปิดบวก 0.16% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธ ส่วนบริษัทรายอื่น ๆ ที่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้รวมถึงไอบีเอ็ม, อินเทล และแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส
หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้น 4.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในช่วงเดือนต.ค.-ธ.ค.2566 ซึ่งเป็นไตรมาส 2 ตามปีงบการเงินของบริษัท โดยระบุว่า กำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.84 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.70 ดอลลาร์
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 4/2566 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในวันศุกร์ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 30-31 ม.ค.
ผลการสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และมีโอกาสเกิดขึ้นในเดือนมิ.ย.มากกว่าเดือนพ.ค.