ตลาดหุ้นเอเชียเปิดภาคเช้าไร้ทิศทางในวันนี้ (30 ม.ค.) โดยหุ้นจีนและฮ่องกงปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากคำสั่งเลิกกิจการของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ประสบภาวะล้มละลาย
ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 15,896.66 จุด ลดลง 180.58 จุด หรือ -1.12% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดภาคเช้าที่ระดับ 2,866.28 จุด ลดลง 17.08 จุด หรือ -0.59% ขณะที่ ดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 36,196.64 จุด เพิ่มขึ้น 169.7 จุด หรือ +0.47%
ดัชนี Kospi ของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้น 0.82% ขณะที่ ดัชนี Kosdaq ปรับตัวขึ้น 0.66%
ดัชนี S&P/ASX 200 ของตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปรับตัวขึ้น 0.46% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นติดต่อกันวันที่ 7
คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้สั่งระงับการซื้อขายหุ้นไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของจีน หลังราคาหุ้นร่วงลงกว่า 20% ในช่วงเช้าวานนี้ ภายหลังจากศาลสูงฮ่องกงมีคำสั่งให้ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ทำการขายสินทรัพย์และปิดกิจการ (Liquidation)
อัตราว่างงานเดือนธ.ค.ของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงสู่ 2.4% ซึ่งต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าและต่ำกว่าการคาดการณ์เล็กน้อย โดยนักเศรษฐศาสตร์ในผลสำรวจที่จัดทำโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า อัตราว่างงานเดือนธ.ค.ของญี่ปุ่นจะทรงตัวที่ 2.5%
สำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. 2566 ร่วงลง 2.7% ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 1.7% และเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบ 1 ปี ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคในออสเตรเลียอ่อนแอลงในช่วงปลายปี 2566 และสวนทางกับในเดือนพ.ย.ที่ยอดค้าปลีกดีดตัวขึ้น 1.6% เนื่องจากในเวลานั้นผู้บริโภคแห่ซื้อสินค้าลดราคาในช่วงเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ (Black Friday)